xs
xsm
sm
md
lg

รวบโจรคู่ซี้เจาะตู้เซฟร้านดังลักเพชร 60 ล้าน!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ตร.กองปราบนำตัวนายดนัย รายเวทย์ อายุ 45 ปี และ นายประเสริฐ ฉัตรอมรโชติกุล อายุ 45 ปี 2 คู่หูร่วมฉกเพชรมูลค่า 60 ล้าน มาแถลงผลการจับกุม
กองปราบแกะรอยกล้องวงจรปิดตามรวบสองคู่หูบุกเจาะตู้เซฟบริษัทค้าอัญมณี “บิวตี้เจมส์” ของไฮโซตระกูลดัง ได้พลอยบราซิล สีฟ้า “บลูโทปาซ” มูลค่าเม็ดละ 1,400,000 บาท พร้อมสร้อยเพชร แหวนเพชร จี้เพชร เครื่องประดับอื่นๆ กว่า 4,000 ชิ้น มูลค่า 60 ล้าน พบประวัติก่อเหตุลักทรัพย์โชกโชนทั่วราชอาณาจักร ใช้เงินมือเติบ เล่นพนันตามบ่อน รับสนิทกันตั้งแต่ติดคุกเมื่อพ้นโทษออกมายังยึดอาชีพโจรตามที่ถนัด

วันนี้ (7 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาภ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.ร่วมแถลงข่าวจับกุม นายดนัย รายเวทย์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/56 วัชรพลคอนโดมิเนียม ถ.สุขาภิบาล 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กทม.และนายประเสริฐ ฉัตรอมรโชติกุล อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 82/ 137 หมู่ 8 แขวง-เขตจอมทอง กทม.สองผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์เครื่องประดับจิวเวลรี่ กว่า 4,000 ชิ้น มูลค่า 60 ล้านบาท ของบริษัทค้าอัญมณีชื่อดัง “บิวตี้เจมส์” ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองถูกตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พ.ต.ท.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผกก.1 บก.ป.พ.ต.ต.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา ร.ต.อ.ศานุวงศ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 ทำการจับกุมตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์นั้น และใช้ยานพาหนะ เพื่อความสะดวกในการกระทำผิด พร้อมของกลางเครื่องประดับจิวเวลรี่ เช่น สร้อยเพชร แหวนเพชร จี้เพชร กว่า 3,000 ชิ้น มูลค่า 58 ล้านบาท รถยนต์อีซูซุ รุ่นมิวเซเว่น สีดำ ทะเบียน ฌว 5285 กทม.โดยจับกุม นายดนัย ได้ภายในตลาดมีนบุรี กทม.ส่วนนายประเสริฐ จับกุมได้ที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ถ.ราชพฤกษ์ เขตภาษีเจริญ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะควบคุมตัวมาดำเนินคดี

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายบุกเข้าไปเจาะตู้เซฟของบริษัทค้าอัญมณีชื่อดัง “บิวตี้เจมส์” ตั้งอยู่เลขที่ 31 ถ.ศาลาแดง ซ.ยมราช แขวงและเขตบางรัก กทม. ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นของไฮโซตระกูลดัง “ศรีอรทัยกุล” จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายปีนข้ามกำแพงด้านหลังบริษัท ก่อนงัดกระจกเข้าไปในอาคาร แล้วขึ้นไปบนชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องเก็บตู้เซฟฉกเครื่องประดับเพชร สร้อยคอ-กำไลเพชร 5 ชุดใหญ่ ต่างหู แหวน เข็มกลัด รวมแล้วกว่า 4,000 ชิ้น ร่วมมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท

ต่อมา พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 นำทีมเข้าไปสืบสวนคลี่คลายคดี จาการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งจากในอาคารที่เหตุ และบริเวณรอบๆ จนไปพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยว่าอาจเป็นของคนร้าย ก่อนที่จะหาเลขทะเบียนจนทราบชื่อผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว คือ นายดนัย ที่พบว่ามีประวัติก่อคดีลักทรัพย์มาอย่างโชกโชน ในหลายท้องที่ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด จึงติดตามพฤติกรรมผู้ต้องสงสัยรายนี้ จนพบพฤติกรรมมีการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ชอบไปเล่นพนันตามบ่อนต่างๆ ส่วนตัวก็ยังมีความสนิทสนมกับนายประเสริฐ ที่เคยมีประวัติต้องคดีรับของโจร ที่ สน.โชคชัย มาเหมือนกัน

ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบกระแสการเงินของผู้ต้องหา พบว่า มีเงินเข้าออกบัญชีเป็นจำนวนมาก รวมแล้วกว่า 1 ล้านบาท โดยได้มีการนำเช็คเงินสดไปขึ้นเงินที่ธนาคารกสิกรไทย ย่านตลาดมีนบุรี ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้ติดตามตัวนายดนัย จนไปพบว่ากำลังเดินออกมาจากร้านทองแห่งหนึ่ง ในตลาดมีนบุรี จึงขอตรวจค้น พบของกลางเป็นเครื่องประดับจำพวกแหวนเพชร และจี้เพชร จำนวนกว่า 30 รายการ จึงนำตัวมาสอบสวน เบื้องต้นรับสารภาพ หลังจากนั้น จึงได้นำเจ้าหน้าที่ตามไปจับกุมนายประเสริฐ พร้อมยึดของกลางที่ผู้ต้อหานำไปซุกซ่อนไว้ในรถยนต์อีซูซุ ได้เพิ่มกว่า 3,000 ชิ้น โดยผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าหนึ่งในของกลางนั้นมีพลอยบราซิล สีฟ้า เม็ดหนึ่งที่มีชื่อว่า “บลูโทปาซ” มีมูลค่าสูงถึงเม็ดละ 1,400,000 บาทอีกด้วย

เบื้องต้นจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ โดยให้การว่า พวกตนนั้นรู้จักและมีความสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยติดคุกอยู่ในเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ เมื่อพ้นโทษออกมาเมื่อ ปี 2547 ก็เลยจับคู่พากันออกตระเวณลักทรัพย์ ส่วนเป้าหมายที่เลือกนั้นจะไม่กำหนด ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความสะดวก ในวันเกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่ง พวกตนก็ออกตระเวนหาเป้าหมายเข้าลักทรัพย์เหมือนเดิม ก็พอดีผ่านไปยังบริษัทดังกล่าว สังเกตเห็นว่าเป็นบริษัทค้าอัญมณีรายใหญ่ ก็เลยพากันเดินสำรวจ จนไปพบว่าที่บริเวณด้านหลังของบริษัท ซึ่งติดกับอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง เป็นจุดอับ การป้องกันไม่ดีพอ จึงปีนรั้วเข้าไป ใช้ไขควงเลาะขอบกระจกใกล้ประตูจนแตก แล้วก็เปิดประตูเข้าไปเข้าไปในอาคาร ขึ้นไปบนชั้นสอง เจอตู้เซฟ ก็ใช้อุปกรณ์ที่นำไปด้วยงัดนำเอาทรัพย์สินภายในตู้ออกมาทั้งหมด ก่อนจะหลบหนีออกมา โดยใช้เวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนเกือบถึงตีสาม จนปลอดคนก็รีบหลบหนีออกมา ส่วนทรัพย์สินที่ได้ก็นำไปขายกับร้านทองที่เคยไปขายเป็นประจำ ซึ่งมีอยู่หลายๆ แห่งทั่วกรุงเทพฯ แต่ละครั้งก็จะขายครั้งละน้อยๆ เพราะกลัวจะผิดสังเกต เมื่อได้เงินมา ก็จะนำมาแบ่งกัน ออกท่องราตรี และเข้าบ่อนการพนัน จนกระทั่งมาถูกจับกุม หลังการสอบสวนจึงส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินคดีต่อ

กำลังโหลดความคิดเห็น