กองปราบร่วมสางคดีสังหารโหด ส.ท.สระบุรี เสียชีวิตรวม 5 ศพ เบื้องต้นเชื่อปมเหตุทะเลาะวิวาทกลุ่มคนมีสี แต่ยังรอผลตรวจอาวุธปืนพกสั้น 3 กระบอก และหัวกระสุนปืนเป็นของคนร้ายหรือไม่ ขณะที่การสอบสวนยังลำบาก เนื่องจากไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์
วันนี้ (5 ต.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีคนร้ายยิงอุกอาจนายพิเชษฐ์ ทิพย์เสวก อายุ 43 ปี สมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) เสียชีวิตพร้อมเพื่อนรวม 5 ศพ ภายในบ้านเลขที่ 149 หมู่ 4 ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติจ.สระบุรี ว่าพ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ผกก.2 บก.ป.ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.อรรถพล พานประทีป สว.กก.2 บก.ป. พร้อมกำลังเข้าร่วมสนับสนุนการทำงานของตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อร่วมคลี่คลายคดี และติดตามหาตัวคนร้าย ซึ่งในวันเดียวกันชุดสืบสวนทั้งหมดได้เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้า และวางแนวทางในการทำงาน
ส่วนปมสังหารครั้งนี้ตำรวจยังมุ่งเน้นการสอบสวนในประเด็นการทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มผู้เสียชีวิตกับกลุ่มคนมีสีเป็นหลัก แต่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทิ้งไปจึงมีการตรวจสอบไปยัง สภ.เมืองสระบุรี เพิ่มเติมว่านอกจากคดีที่ นายอารมณ์ ถูกหมายจับในข้อหาใช้จ้างวาน และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นแล้วกลุ่มผู้ตายยังมีคดีอื่นๆ อีกหรือไม่ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามตรวจสอบในทุกๆประเด็นแต่เท่าที่ตรวจสอบในขณะนี้นั้นก็พบว่า ยังมีเพียงแค่คดีร่วมกันทำร้ายร่างกายคู่กรณีเพียงเดียวเท่านั้นที่มีน้ำหนักพอให้เชื่อว่าจะเป็นสาเหตุที่ถูกสังหารหมู่
สำหรับการตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุนั้น ยังอยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบอาวุธปืนที่ตกอยู่ในเกิดเหตุ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 กระบอก คือ อาวุธปืนพกสั้นขนาด .38, ขนาด 9 มม.และขนาด 11 มม.โดยเบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาวุธปืนทั้ง 3 กระบอกนั้นเป็นของกลุ่มผู้เสียชีวิต ส่วนหัวกระสุนปืนที่พบตามศพต่างๆ นั้น ก็มีอยู่ด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาด .38 และ 11 มม.แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นลูกกระสุนที่มาจากปืนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องผลตรวจสอบจากแพทย์นิติเวชในเรื่องบาดแผล วิถีกระสุน และช่วงระเวลาการตาย รวมทั้งประเด็นที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า อาจมีการทำร้ายร่างกายกลุ่มผู้เสียชีวิตก่อนจะถูกยิงด้วย
ส่วนการสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพยานแวดล้อมที่เกิดเหตุนั้นจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบพยานแต่อย่างใด เนื่องจากบ้านที่เกิดเหตุนั้นตั้งอยู่ไกลห่างจากบ้านของผู้อื่น และอยู่ในพื้นที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คน จึงทำให้หาพยานแวดล้อมยาก และมีความเป็นไปได้ว่าคดีนี้มีกลุ่มอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาให้ปากคำเป็นพยานก็เป็นได้