ญาติเหยื่อนักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนจีน ที่ถูกครูจับหัวโขกกระดานดำ เข้าแจ้งความ ระบุ ไม่อยากเอาความ แต่อนาคตกลัวเด้กถุกกลั่นแกล้ง จึงมาแจ้งเป็นหลักฐานไว้ก่อน ขณะที่ครูผู้กระทำยอมขอโทษและยอมรับผิด อ้างเด็กให้ของลับก่อน
วันนี้ (22 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. น.ส.สุดาภรณ์ บุญภรณ์ อายุ 34 ปี ได้พาตัว ด.ช.ต่าย (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสอนภาษาไทย-จีน หลานชายที่ถูกอาจารย์ในโรงเรียนกระชากคอตบศีรษะและจับโขกกับกระดานดำ จนมีคลิปเผยแพร่ไปทั่ว เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.อังกูร ศิริปริญญานันท์ พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.ยานนาวา เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยมี พ.ต.ท.ชาญวิทย์ พุ่มโพธิ รอง ผกก.สส.สน.ยานนาวา ร่วมสอบปากคำด้วย ขณะเดียวกันนายวีระพงษ์ พงษ์จันโอ อายุ 29 ปี อาจารย์สอนสังคมศึกษา ที่ถูกกล่าวหาก็มาร่วมรับฟัง พร้อมกล่าวขอโทษเด็กและผู้ปกครองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
น.ส.สุดาภรณ์ เปิดเผยว่า เป็นน้าสาวของ ด.ช.ต่าย หลังจากที่ไปออกรายการโทรทัศน์เมื่อวานนี้ ก็ได้มีการพูดคุยปรับความเข้าใจกับทางโรงเรียนแล้ว ที่จริงก็ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งข่าวโหมแรงแค่ไหน ตัวเด็กจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็อยากให้จบเร็วๆ นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์บางเล่มออกข่าวเหมือนจะเข้าข้างทางโรงเรียนด้วย ตนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ที่ต้องมาแจ้งความไว้ก็เพื่อไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากไม่รู้ว่า ถ้าเรื่องนี้เงียบไปแล้ว ตัวอาจารย์ที่ทำหรือแม้กระทั่งทางโรงเรียนจะผูกใจเจ็บ แก้แค้นเด็กหรือไม่ อีกทั้งถ้าผลการประชุมของคณะกรรมการมีผลออกมาแล้วว่า ตัวอาจารย์ผิดจริง จะมีขั้นตอนในการลงโทษอย่างไร เพราะอาจารย์ได้ยื่นใบลาออกไปแล้ว ซึ่งหลังจากพูดคุยกันในครอบครัวก็สรุปกันว่า จะไม่เอาเรื่อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป” น.ส.สุดาภรณ์ กล่าว
ด้านนายวีระพงษ์ พงษ์จันโอ กล่าวยอมรับว่า ขอยอมรับผิดทุกอย่าง ที่ทำลงไปไม่มีเจตนาจะทำร้ายเด็ก แต่ถูกเด็กให้ของลับและด่าใส่หน้า จึงรู้สึกอับอายและโกรธมาก แต่ถึงจะโมโหแค่ไหน คนที่มีวิญญาณครูทุกคนก็ต้องระงับสติอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ก็อยากจะขอโทษตัวเด็กและผู้ปกครองด้วย แม้สังคมอาจจะไม่ให้อภัยตน แต่ขอให้เข้าใจบ้างก็พอ
ด้าน พ.ต.ท.ชาญวิทย์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับแจ้งลงบันทึกไว้แล้ว ถึงแม้ว่าส่วนของผู้เสียหายจะไม่เอาผิด แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการเอง เนื่องจากเป็นคดีที่มีหลักฐานชัดเจนและเผยแพร่สู่สังคมในวงกว้างแล้ว เบื้องต้นจะต้องส่งเด็กไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเสียก่อน และรอผลจากแพทย์ว่า เด็กมีส่วนใดที่ได้รับบาดเจ็บบ้างจากนั้นค่อยว่ากันต่อตามกฎหมาย
