นครบาลรวบเด็กสาว 19 ริค้ายาบ้า พร้อมของกลาง 12,000 เม็ด ยาเคน้ำอีก 90 ขวด มูลค่ากว่าล้านบาท เผย สั่งซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือเครือข่ายแก๊งค้ายาบ้าเรือนจำลาดยาว พบประวัติหนีออกจากบ้าน จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ ม.2 มารับจ้างเลี้ยงเด็กใน กทม.จนรู้จักแฟนผู้ต้องหาและชักชวนค้ายา
วานนี้ (18 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พ.ต.อ.สุธีร์ เนรกัณฐี รอง ผบก.น.7 พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน ผกก.สืบสวน บก.น.7 พ.ต.ท.ภิญโญ ป้อมสถิตย์ รอง ผกก.สืบสวน บก.น.7 พ.ต.ต.สำเริง คงมี สว.กก.สส.บก.น.7 และเจ้าหน้าที่ กก.สืบสวน บก.น.7 ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม น.ส.จิราพรรณ หรือ ออย ปันทะนา อายุ 19 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 12,000 เม็ด และยาเคตามีนชนิดน้ำ 90 ขวด รวมมูลค่าประมาณ 1,422,000 บาท โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณศาลาท่าเรือโดยสารใกล้หอนาฬิกา ท่าน้ำนนท์ ต.สวนใหญ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวเปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับ ว่า นายกฤตภาส หรือ แจ็ค คล้ายตระกูล เป็นเครือข่ายแก๊งค้ายาบ้าในเรือนจำพิเศษลาดยาว ได้ลักลอบจำหน่ายยาบ้า และ ยาเค โดยสามารถสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือ จึงได้ทำการวางแผนล่อซื้อยาบ้าและยาเคจำนวนดังกล่าว และนัดส่งมอบของกลางกันที่บริเวณศาลาท่าเรือโดยสารใกล้หอนาฬิกา ท่าน้ำนนท์ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำกำลังไปดักซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียง จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.40 น.ของวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็พบ น.ส.จิราพรรณ เดินอยู่บริเวณศาลาท่าน้ำ พร้อมกับสะพายกระเป๋าถือแบบสตรีสีขาว เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นก็พบยาบ้าและยาเค จำนวนดังกล่าว จึงควบคุมตัวมาทำการสอบปากคำที่ กก.สส.บก.น.7
จากการสอบสวนผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพว่า บ้านเดิมตนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ โดยระหว่างที่ตนกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ ร.ร.แห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ก็หนีออกจากบ้าน มาทำงานรับจ้างเลี้ยงเด็กอยู่ที่ กทม.หลังจากนั้น ตนก็มารู้จักกับ น.ส.ฝน ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ซึ่งเป็นแฟนสาวของ นายรัตนชัย หรือ บูม สุขรัตน์ ผู้ต้องขังในเรือนจำลาดยาว โดย น.ส.ฝน ได้ชวนให้ตนมาทำงานส่งยาบ้าหาเงิน และได้ค่าจ้างครั้งละ 30,000 บาท โดยปกติตนจะส่งยาบ้าร่วมกับแฟนของตน แต่หลังจากแฟนถูกจับกุม ตนจึงต้องมาส่งยาบ้าเพียงคนเดียว โดยทำมาแล้วหลายครั้ง จนกระทั่งมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว
พล.ต.ต.อำนวย กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ก่อนส่งตัวดำเนินคดีต่อไป
“ผมจะทำรายงานเสนอ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.เรื่องการลักลอบใช้โทรศัพท์มือถือในเรือนจำของผู้ต้องขัง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ายาบ้าจากเรือนจำได้หลายครั้ง ทุกครั้งก็จะรับสารภาพว่า มีการโทรศัพท์สั่งซื้อขายยาเสพติดกับบุคคลนอก ผมจึงอยากเสนอให้มีมาตรการตัดสัญญาณโทรศัพท์ในเรือนจำ เพื่อลดปัญหาการลักลอบสั่งซื้อและขายยาเสพติดจากในเรือนจำ แต่กรมราชทัณฑ์จะว่าอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รอง ผบช.น.กล่าว
