ตำรวจ สน.ท่าข้าม สามารถติดตามจับกุม คนร้ายที่ก่อเหตุ บุกเข้าไปทำร้ายร่างกายหญิงสาวเจ้าของร้านโทรศัทพ์มือถือจนอ่วมก่อนชิงเอาโทรศัพท์มือถือในร้านไป ขณะทำแผน ญาติผู้เสียหายทนไม่ไหวกระโดดฝ่าวงล้อมตำรวจฮือเข้าประชาทัณฑ์จนต้องรีบนำกลับโรงพัก
วันนี้ (14 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สักกฉัฐ กิตติขจร ผบก.น.9 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ยุคลเดช ตันสกุล ผกก.สน.ท่าข้าม พ.ต.ท.นิพนธ์ ฤกษ์นิยม รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.คมกริช มั่นจิตต์ สว.สส. และกำลังฝ่ายสืบสวน สน.ท่าข้าม ควบคุมตัว นายจักรกฤษ หรือ “โชค” ศรีปาน อายุ 25 ปี ชาว จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ 622/2552 ลงวันที่ 13 ก.ค.52 ข้อหา “ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นการจับกุม” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง บัตรเติมเงินอินเทอร์เน็ตออนไลน์ 15 ใบ และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีแดง ทะเบียน มขว 625 กทม.ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ร้านสินทวีโมบาย เลขที่ 281 ซอย 7 หมู่บ้านสินทวีวิลล่า แขวงบางมด เขตจอมทอง กทม.
พ.ต.อ.ยุคลเดช เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายจักรกฤษ ผู้ต้องหารายนี้ได้บุกรุกเข้าไปในร้านสินทวีโมบาย ใช้กำลังประทุษร้าย น.ส.สรินยา ลีบำรุง อายุ 33 ปี เจ้าของร้านจนได้รับบาดเจ็บ แล้วชิงทรัพย์สินเป็นโทรศัพท์มือถือจำนวน 22 เครื่อง บัตรเติมเงินโทรศัพท์หลายเครือข่าย บัตรเติมเงินอินเทอร์เน็ตออนไลน์ และเงินสด รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 39,000 บาทหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสามารถแกะรอยคนร้ายรายนี้ได้จากกล้องวงจรปิดภายในหมู่บ้าน และทราบว่าหลบหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.พิษณุโลก จึงรีบขออำนาจศาลออกหมายจับแล้วเดินทางไปควบคุมตัวไว้ได้พร้อมของกลางเป็นโทรศัพท์ที่เหลือจำนวน 8 เครื่อง และบัตรเติมอินเทอร์เน็ตออนไลน์อีก 15 ใบ ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.ท่าข้าม
“จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ต่อมาก็ตกงานจึงมาพักอยู่ที่บ้านป้าย่านวัดเลา ถนนพระราม 2 พอเงินขาดมือจึงยืมรถจักรยานยนต์ของลุงขับตระเวนหาเหยื่อเพื่อชิงทรัพย์ เมื่อสบโอกาสเห็นร้านขายโทรศัพท์มือถือซึ่งมีเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงอยู่ในร้านเพียงลำพัง จึงวางแผนบุกเข้าไปก่อเหตุ โดยโทรศัพท์มือถือและบัตรเติมเงินที่ลักไปได้ก็จะนำไปขายและจำนำตามร้านขายโทรศัพท์มือสองหลายแห่ง จากนั้นจึงตัดสินใจหลบหนีไปกบดานที่บ้านเกิดจนถูกตามจับกุมตัวได้ในที่สุด” พ.ต.อ.ยุคลเดช กล่าว
ด้าน น.ส.สรินยา ผู้เสียหายเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้นายจักรกฤษเคยเข้ามาทำทีสอบถามราคาโทรศัพท์มือถือมาแล้วประมาณ 3 ครั้ง จนตนจำหน้าได้ ซึ่งในวันเกิดเหตุก็ยังขับรถจักรยานยนต์มาจอดแล้วแกล้งเข้ามาถามราคา จากนั้นนายจักรกฤษก็กระโดดข้ามตู้โชว์หน้าร้านเข้ามาประชิดตัวชกเข้าที่ใบหน้าและหน้าท้องตน ก่อนที่จะลากไปล็อกคอที่ด้านหลังร้านแล้วจับศีรษะโขกพื้น ตามด้วยการหยิบขวดน้ำอัดลมฟาดเข้าที่กลางกระหม่อมไม่ยั้งจนหัวแตกเลือดแดงฉาน หนำซ้ำยังหยิบมีดขึ้นมาขู่จะฆ่าตนให้ตาย และใช้เชือกรัดข้อมือตนไว้อีก เมื่อตนไม่สามารถลุกไหวแล้ว นายจักรกฤษก็เดินไปที่ตู้โชว์ กวาดเอาโทรศัพท์มือถือ และบัตรเติมเงินใส่กระเป๋าสะพายที่เตรียมมา โดยก่อนจะหลบหนีไปยังได้ค้นในลิ้นชักหยิบเงินสดจากกระเป๋าสตางค์จนไปจำนวน 4,000 บาทอีกด้วย
“หลังจากที่ดิฉันแน่ใจว่านายจักรกฤษสตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไปแล้ว ดิฉันก็ได้คลานออกมาเปิดประตูกระจกหน้าร้านเพื่อตะโกนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้โทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ โดยหลังจากนั้นดิฉันต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.บางมด นานถึง 3 วัน แล้วออกมาพักที่บ้านอีกหลายวันกว่าจะเปิดร้านขายของต่อ รู้สึกดีใจมากที่ตำรวจสามารถตามจับกุมคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีได้” น.ส.สรินยา กล่าว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้นายจักรกฤษทำแผนประกอบคำรับสารภาพด้วยการปฏิบัติตามแผนประทุษกรรมที่ใช้ก่อเหตุ โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ซึ่งจุดที่ 1 เป็นจุดที่นายจักรกฤษขับรถจักรยานยนต์มาจอดบริเวณหน้าร้าน จุดที่ 2 เป็นจุดที่ทำทีเข้ามาสอบถามราคาโทรศัพท์กับผู้เสียหายบริเวณหน้าตู้โชว์ จุดที่ 3 อยู่ด้านหลังร้านเป็นจุดที่นายจักรกฤษ ลากตัวผู้เสียหายไปทำร้ายร่างกาย จุดที่ 4 บริเวณตู้โชว์เป็นจุดที่นายจักรกฤษกวาดเอาโทรศัพท์และบัตรเติมเงินใส่กระเป๋าสะพาย จุดที่ 5 เป็นจุดที่รื้อค้นเงินสดจากกระเป๋าของผู้เสียหาย และจุดสุดท้ายเป็นที่สตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์ก่อนขับมุ่งหน้าเพื่อหลบหนี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ตำรวจกำลังบันทึกภาพนายจักรกฤษตรงจุดสุดท้ายนั้น ปรากฏว่าได้มีญาติของผู้เสียหายฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่เข้ามาชกที่ใบหน้าของนายจักรกฤษอย่างจัง จนต้องห้ามปรามกันด้วยความอลหม่าน จากนั้นกำลังเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจควบคุมตัวนายจักรกฤษขึ้นรถกลับ สน.ท่าข้าม ในทันที
วันนี้ (14 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สักกฉัฐ กิตติขจร ผบก.น.9 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ยุคลเดช ตันสกุล ผกก.สน.ท่าข้าม พ.ต.ท.นิพนธ์ ฤกษ์นิยม รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.คมกริช มั่นจิตต์ สว.สส. และกำลังฝ่ายสืบสวน สน.ท่าข้าม ควบคุมตัว นายจักรกฤษ หรือ “โชค” ศรีปาน อายุ 25 ปี ชาว จ.พิษณุโลก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ 622/2552 ลงวันที่ 13 ก.ค.52 ข้อหา “ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อการกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นการจับกุม” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง บัตรเติมเงินอินเทอร์เน็ตออนไลน์ 15 ใบ และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีแดง ทะเบียน มขว 625 กทม.ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ร้านสินทวีโมบาย เลขที่ 281 ซอย 7 หมู่บ้านสินทวีวิลล่า แขวงบางมด เขตจอมทอง กทม.
พ.ต.อ.ยุคลเดช เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายจักรกฤษ ผู้ต้องหารายนี้ได้บุกรุกเข้าไปในร้านสินทวีโมบาย ใช้กำลังประทุษร้าย น.ส.สรินยา ลีบำรุง อายุ 33 ปี เจ้าของร้านจนได้รับบาดเจ็บ แล้วชิงทรัพย์สินเป็นโทรศัพท์มือถือจำนวน 22 เครื่อง บัตรเติมเงินโทรศัพท์หลายเครือข่าย บัตรเติมเงินอินเทอร์เน็ตออนไลน์ และเงินสด รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 39,000 บาทหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสามารถแกะรอยคนร้ายรายนี้ได้จากกล้องวงจรปิดภายในหมู่บ้าน และทราบว่าหลบหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.พิษณุโลก จึงรีบขออำนาจศาลออกหมายจับแล้วเดินทางไปควบคุมตัวไว้ได้พร้อมของกลางเป็นโทรศัพท์ที่เหลือจำนวน 8 เครื่อง และบัตรเติมอินเทอร์เน็ตออนไลน์อีก 15 ใบ ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.ท่าข้าม
“จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ต่อมาก็ตกงานจึงมาพักอยู่ที่บ้านป้าย่านวัดเลา ถนนพระราม 2 พอเงินขาดมือจึงยืมรถจักรยานยนต์ของลุงขับตระเวนหาเหยื่อเพื่อชิงทรัพย์ เมื่อสบโอกาสเห็นร้านขายโทรศัพท์มือถือซึ่งมีเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงอยู่ในร้านเพียงลำพัง จึงวางแผนบุกเข้าไปก่อเหตุ โดยโทรศัพท์มือถือและบัตรเติมเงินที่ลักไปได้ก็จะนำไปขายและจำนำตามร้านขายโทรศัพท์มือสองหลายแห่ง จากนั้นจึงตัดสินใจหลบหนีไปกบดานที่บ้านเกิดจนถูกตามจับกุมตัวได้ในที่สุด” พ.ต.อ.ยุคลเดช กล่าว
ด้าน น.ส.สรินยา ผู้เสียหายเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้นายจักรกฤษเคยเข้ามาทำทีสอบถามราคาโทรศัพท์มือถือมาแล้วประมาณ 3 ครั้ง จนตนจำหน้าได้ ซึ่งในวันเกิดเหตุก็ยังขับรถจักรยานยนต์มาจอดแล้วแกล้งเข้ามาถามราคา จากนั้นนายจักรกฤษก็กระโดดข้ามตู้โชว์หน้าร้านเข้ามาประชิดตัวชกเข้าที่ใบหน้าและหน้าท้องตน ก่อนที่จะลากไปล็อกคอที่ด้านหลังร้านแล้วจับศีรษะโขกพื้น ตามด้วยการหยิบขวดน้ำอัดลมฟาดเข้าที่กลางกระหม่อมไม่ยั้งจนหัวแตกเลือดแดงฉาน หนำซ้ำยังหยิบมีดขึ้นมาขู่จะฆ่าตนให้ตาย และใช้เชือกรัดข้อมือตนไว้อีก เมื่อตนไม่สามารถลุกไหวแล้ว นายจักรกฤษก็เดินไปที่ตู้โชว์ กวาดเอาโทรศัพท์มือถือ และบัตรเติมเงินใส่กระเป๋าสะพายที่เตรียมมา โดยก่อนจะหลบหนีไปยังได้ค้นในลิ้นชักหยิบเงินสดจากกระเป๋าสตางค์จนไปจำนวน 4,000 บาทอีกด้วย
“หลังจากที่ดิฉันแน่ใจว่านายจักรกฤษสตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไปแล้ว ดิฉันก็ได้คลานออกมาเปิดประตูกระจกหน้าร้านเพื่อตะโกนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านให้โทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ โดยหลังจากนั้นดิฉันต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.บางมด นานถึง 3 วัน แล้วออกมาพักที่บ้านอีกหลายวันกว่าจะเปิดร้านขายของต่อ รู้สึกดีใจมากที่ตำรวจสามารถตามจับกุมคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีได้” น.ส.สรินยา กล่าว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้นายจักรกฤษทำแผนประกอบคำรับสารภาพด้วยการปฏิบัติตามแผนประทุษกรรมที่ใช้ก่อเหตุ โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ซึ่งจุดที่ 1 เป็นจุดที่นายจักรกฤษขับรถจักรยานยนต์มาจอดบริเวณหน้าร้าน จุดที่ 2 เป็นจุดที่ทำทีเข้ามาสอบถามราคาโทรศัพท์กับผู้เสียหายบริเวณหน้าตู้โชว์ จุดที่ 3 อยู่ด้านหลังร้านเป็นจุดที่นายจักรกฤษ ลากตัวผู้เสียหายไปทำร้ายร่างกาย จุดที่ 4 บริเวณตู้โชว์เป็นจุดที่นายจักรกฤษกวาดเอาโทรศัพท์และบัตรเติมเงินใส่กระเป๋าสะพาย จุดที่ 5 เป็นจุดที่รื้อค้นเงินสดจากกระเป๋าของผู้เสียหาย และจุดสุดท้ายเป็นที่สตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์ก่อนขับมุ่งหน้าเพื่อหลบหนี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ตำรวจกำลังบันทึกภาพนายจักรกฤษตรงจุดสุดท้ายนั้น ปรากฏว่าได้มีญาติของผู้เสียหายฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่เข้ามาชกที่ใบหน้าของนายจักรกฤษอย่างจัง จนต้องห้ามปรามกันด้วยความอลหม่าน จากนั้นกำลังเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจควบคุมตัวนายจักรกฤษขึ้นรถกลับ สน.ท่าข้าม ในทันที