“จงรัก” นำทีมแถลงจับสาวคนสนิทฆ่าเผาอำพรางคดี อดีตรอง ผบช.ภ.7 ให้การสิ้น ต้องการชิงทรัพย์หาเงินไปใช้หนี้ อ้างก่อเหตุคนเดียว เผย นาทีปลิดชีพ มีดพกแทงเข้าที่คอขณะผู้ตายหลับ ก่อนแทงไม่ยั้งกลัวไม่ตาย
วันนี้(9 ก.ค.)เมื่อเวลา 10.00 น.ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ. 1)พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 และพ.ต.อ.เพชรรัตน์ แสงไชย รองผบก.หน.ศสส.บช.ภ.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม นางสาวภรณ์ภัสสรณ์ หรือบ๋อม ศิริวงศ์ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 167/133 หมู่ 1 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุฆ่าอำพราง พล.ต.ต.ชูเกียรติ ภัยลี้ อดีตรองผบช.ภ.7 ในบ้านพัก พร้อมของกลาง มีดพับ 1 เล่ม สร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท 1 เส้น 5 บาท 1 เส้น และสร้อยคออีก 4 เส้น นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโลเล็กซ์ฝังเพชร 1 เรือน พระสมเด็จพร้อมตลับทอง 1 รายการ เหรียญสมเด็จโตพร้อมตลับทอง 1 องค์ แหวนเพชร 3 วง เงินสด 2 แสนบาท กระเป๋าสตางค์ กล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ เสื้อยืดสีขาวคาดเขียว ที่ผู้ต้องหาใส่ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ จ.เพชรบูรณ์
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่าสืบเนื่องมาจากวันที่ 2 ก.ค. 52 เวลาประมาณ 18.00 น.ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 47/131 หมู่บ้านกฤษฎานคร 10 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของ พล.ต.ต.ชูเกียรติ ภัยลี้ อดีตรองผบช.ภ.7 โดยหลังจากการชันสูตรพบว่าได้ถูกฆาตกรรมก่อนที่ถูกวางเพลิงเพื่อเผาอำพรางคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนและหาเบาะแสของคนร้าย ทางการสืบสวนคาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับผู้ตายจนกระทั่งได้หลักฐานเป็นภาพของหญิงสาวที่ไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวต่อว่า จนกระทั่งสืบทราบว่าผู้ก่อเหตุคือนางสาวภรณ์ภัสสรณ์ ซึ่งรู้จักกับผู้ตายมานานหลายปี โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ที่ทำไปเพื่อต้องการชิงทรัพย์เนื่องจากต้องการนำเงินไปใช้หนี้ ซึ่งหลังก่อเหตุได้เช่ารถยนต์จากกรุงเทพหลบหนีไปอยู่ที่บ้านญาติใน จ.เพชรบูรณ์ และลงมือก่อเหตุเพียงคนเดียว
จากการสอบสวน นางสาวภรณ์ภัสสรณ์ ให้การรับสารภาพว่า ตนทำงานเป็นพนักงานที่ร้านอาหารโคขุน ย่านบางบัวทองและรู้จักกับผู้ตายมาหลายปีแล้ว โดยรู้จักกันที่ร้านอาหารเรือนตะวัน ซึ่งเป็นที่ทำงานเก่าของตน ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปที่บ้านของผู้ตายมาก่อน เพิ่งจะเคยมาบ้านผู้ตายเป็นครั้งแรกในวันที่ก่อเหตุ ซึ่งในวันนั้นตนได้โทรศัพท์ไปหาผู้ตายเพื่อขอยืมเงิน และผู้ตายได้นัดเจอที่ร้านอาหารใกล้กับที่ทำงานเก่า ก่อนจะพามาที่บ้านของผู้ตาย ระหว่างนั้นตนยังไม่ได้พูดถึงเรื่องยืมเงิน
นางสาวภรณ์ภัสสรณ์ กล่าวต่อว่า เมื่อมาถึงก็รับประทานอาหารกัน จากนั้นผู้ตายขอตัวขึ้นไปบนห้อง ตนเห็นว่านานผิดปกติจึงตามขึ้นไปดูเห็นผู้ตายหลับอยู่ ประกอบกับเห็นทรัพย์สินของผู้ตายจำนวนมากเลยอาศัยจังหวะที่ผู้ตายหลับอยู่ใช้มีดพกที่พกติดตัวมา แทงเข้าที่คอและบริเวณอื่นอีกหลายแผล ส่วนที่แทงหลายแผลไม่ได้มีความแค้นแต่อย่างใด แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเสียชีวิตแล้ว จากนั้นก็รื้อค้นทรัพย์สินของผู้ตายไปหมด ส่วนที่เผาบ้านก็เพื่ออำพรางคดีไม่ให้ถูกจับได้ ซึ่งตนเห็นว่าในลิ้นชักที่ห้องของผู้ตายมีไฟแช็กอยู่
“หลังก่อเหตุฉันรีบวิ่งออกมาด้านนอกเพื่อหลบหนี แต่ประตูรั้งเปิดไม่ออกจึงปีนรั้วออกมาเพื่อเรียกแท็กซี่ โดยฉันบอกให้แท็กซี่ไปส่งที่ป้อมพระสุเมรุ ถ.พระอาทิตย์ ระหว่างนั้นได้เปิดสมุดบัญชีของผู้ตายดูก็พบรหัสเอทีเอ็ม จึงทำการกดเงินออกมา 3 ครั้ง ครั้งละ 2 หมื่นบาท และได้โทรศัพท์เรียกแฟนมาหาพร้อมกับให้เงินไป 5,000 บาท ส่วนสาเหตุที่ทำลงไปก็เพราะต้องการนำเงินไปใช้หนี้ ซึ่งตนเป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้นอกระบบประมาณ 2 แสนบาท คิดว่าถ้าหากยืมเงินผู้ตายคงไม่ให้ เลยวางแผนฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นนายตำรวจใหญ่ แต่มารู้ภายหลัง เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ตายมักจะพูดกับตนว่าเป็นดาบตำรวจ”นางสาวภรณ์ภัสสร กล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บ้านเกิดเหตุ โดยจุดแรกเป็นจุดที่ผู้ตายและผู้ต้องหานั่งรถมาจอดหน้าบ้าน ก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน จากนั้นจุดที่สองเป็นจุดที่ผู้ต้องหาก่อเหตุแทงผู้ตายขณะที่ผู้ตายหลับอยู่ ทั้งๆที่ผู้ตายยังรู้สึกตัวและต่อสู้กันเล็กน้อย ก่อนที่ผู้ตายจะกลิ้งตกจากเตียงและถูกผู้ต้องหากระหน่ำแทงซ้ำจนเสียชีวิต จุดที่สามเป็นจุดที่ผู้ต้องหาใช้ไปแช็กจุดไฟเผาบ้านโดยใช้ไฟแช็กของผู้ตายที่พบในลิ้นชัก ส่วนจุดที่สีเป็นจุดที่ปิดประตูหนีและล็อกด้านในหนีออกมา และจุดที่ห้า เป็นจุดที่ปีนรั้วหนีออกมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการทำแผนประกอบคำสารภาพ พล.ต.ต.สกล ภัยลี้ น้องชายของ พล.ต.ต.ชูเกียรติ ภัยลี้ ผู้ตายได้เดินทางมาดูการทำแผนครั้งนี้ด้วย พร้อมกับกล่าวว่า ในวันนี้ตนในฐานะน้องชายก็ได้เดินทางมาดูการทำแผนในครั้งนี้ด้วย แต่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวในเรื่องของคดีหรือแนวทางการสืบสวนสอบสวน ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะทำงาน โดยส่วนตัว 90 เปอร์เซ็นต์มีความมั่นใจว่าผู้ต้องหาที่จับได้น่าจะเป็นผู้ก่อเหตุเพียงคนเดียว หากครั้งนี้มีพยานและหลักฐานที่สาวไปถึงตัวผู้ที่เกี่ยวข้องหรือคนอื่นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต่อไป ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ต้องหากับผู้ตาย รวมถึงเรื่องของครอบครัวผู้ตาย ไม่ขอพูดถึง ส่วนทรัพย์สินของผู้ตายพบว่ามีอาวุธปืนหายไป 1 กระบอก เป็นปืนลูกโม่ ยี่ห้อ สมิธชิพ ขนาด .38 แต่ต้องให้ตำรวจตรวจสอบอีกทีว่าหายไปก่อนหรือหลังเกิดเหตุ
ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนางสาวภรณ์ภัสสรณ์ ผู้ต้องหามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อที่ ถนนพระอาทิตย์บริเวณตู้เอทีเอ็ม ใกล้กับร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นจุดแรกที่กดเงินสด 2 หมื่นบาท ก่อนจะพาไปทำแผนต่อที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารนครหลวงไทยเป็นจุดที่สอง สุดท้ายนำตัวไปทำแผนต่อที่ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นจุดที่สามที่ผู้ต้องหากดเงินสดออกไป
จับยกแก๊ง! ชาย 3 หญิง 1 ร่วมฆ่าเผาอำพราง “พล.ต.ต.”
ตร.เค้นสอบสาวใช้ใกล้ชิด-แกะรอยหาพระสมเด็จฯ สางคดีเผา “พล.ต.ต.”
ตำรวจพบปมชิงทรัพย์ ฆ่า “พล.ต.ต.” อำพรางคดี!
ผลชันสูตรฟ้อง ฆ่าเผาอำพรางคดี “พล.ต.ต.” - ตร.เครียดล่าตัวฆาตกร
ไฟคลอกอดีตรอง ผบช.ภาค 7 ดับคาบ้าน