ญาติเมียเก่า “สุรพล ทวนทอง” เข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพิ่มเติม หลังถูกนายพลคนดังฉ้อโกงที่ดินถึง 6 แปลง มูลค่าหลายสิบล้านบาท โดยอ้างตลอดศกว่า จะชดใช้คืนให้ แต่ไม่เคยดำเนินการ
วันนี้ (26 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่กองปราบปราม นางปทิตตา นิวาตวงศ์ อายุ 54 ปี ผอ.สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม ภาคใต้ อยู่บ้านเลขที่ 189 ซ.ลาดพร้าว 115 ถ.ลาดพร้าว เขตบางกะปี กทม.พร้อมด้วย น.ส.นิธิวรรณ นิวาตวงศ์ และ นางวันทนีย์ นิวาตวงศ์ น้องสาว เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมหลังก่อนหน้านี้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในข้อหาฉ้อโกง ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.ซึ่งสั่งให้มีการดำเนินคดีไปตามขั้นตอน ทางพนักงานสอบสวน จึงได้เชิญผู้เสียหายมาให้ปากคำอีกครั้งในวันนี้
นางปทิตตา กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2532 พล.ต.ต.สุรพล ซึ่งขณะนั้นมียศ “พ.ต.ท.” เป็นสามี นางชนัญชิดา หรือ วิริยา นิวาตวงศ์ น้องสาว ได้รับมอบอำนาจจาก นางนวลปราง นิวาตวงศ์ มารดาของตนให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองต่อ บริษัท ซินเซียทรัสท์ จำกัด ที่มารดาของตนชำระหนี้ไปแล้ว และให้รังวัดสอบเขตที่ดินจำนวน 6 แปลง มีอาณาเขตติดต่อกันรวม 5 โฉนด จำนวน 681 ตารางวา ในพื้นที่ ต.บางเขน (ลาดโตนด) อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งมารดาตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และโฉนดที่ดิน 1 แปลง ประมาณ 200 ตารางวา ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2532 พล.ต.ต.สุรพล ได้นำโฉนดที่ดิน จำนวน 5 แปลง ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินให้แก่ตัวเอง โดยนำหนังสือมอบอำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในที่ดินที่ลงลายมือชื่อไว้เพื่อการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง และการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวไปกรอกข้อความเป็นการขายที่ดินให้แก่ตัวเอง และวันเดียวกันนั้น ได้นำที่ดินทั้ง 5 แปลงที่รับโอนไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมของตัวเอง ต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท โดยที่มารดาของตนไม่เคยรู้เห็น หรือรับเงินจากเขาแต่อย่างใด
นางปทิตตา กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2533 พล.ต.ต.สุรพล ก็จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 5 แปลง และของตนอีก 1 แปลง โอนใส่เป็นชื่อของตัวเองโดยมิชอบ และนำไปประกอบเอกสารประกันเงินกู้ของตัวเองต่อบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 24,000,000 บาท ทั้งที่ตนและมารดา ไม่ทราบเรื่อง
“เมื่อฉันและแม่ ทราบเรื่องก็ได้เรียกเขามาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยยอมรับผิดทุกอย่าง และรับปากว่า จะนำที่ดินทั้ง 6 แปลง โอนกรรมสิทธิ์กลับคืนมา โดยแม่บอกขอให้ลูกๆ อภัยให้เขา เพราะเป็นเขยคนแรกในบ้าน และยังรับราชการ มีอนาคตที่ดี จากนั้นได้มีการทวงถามมาโดยตลอดแต่ถูกบ่ายเบียง จนวันที่ 1 กันยายน 2537 เขาได้นำโฉนดที่ดินที่รับโอนมาทั้ง 6 แปลง โดยมิชอบไปจดทะเบียนจำนองเพิ่มวงเงินเป็นประกันเงินกู้ยืม จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) อีก 100 ล้าน ด้วยวิธีระงับจำนอง และจดทะเบียนจำนองใหม่ ทั้งที่มารดาและพวกฉันไม่ทราบเรื่อง” นางปทิตตา กล่าว
นางปทิตตา กล่าวว่า จนครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี พ.ศ.2549 เขาได้มาต่อรองกับแม่ ว่า จะขอชำระเงิน 50 ล้านบาท ภายในเวลา 6 เดือน ให้แทนการโอนที่ดินทั้ง 6 แปลงคืน เนื่องจากธุรกิจในครอบครัวล้มเหลว และถูกกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ซึ่งรับโอนกรรมสิทธิ์จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) ฟ้องบังคับ จนนางนวลปราง มารดา ล้มป่วยและมาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2550 และเมื่อครบกำหนดทำบุญ พล.ต.ต.สุรพล ได้พูดต่อหน้าพี่น้องทุกคนว่าจะไม่ชำระหนี้แทนการโอนที่ดินทั้ง 6 แปลงกลับคืน จึงนำเรื่องร้อง พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ซึ่งต่อมา เขาก็รับปากว่าจะคืนที่ดินให้ แต่ก็ยังไม่คืนให้สักที อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็ได้จดทะเบียนหย่ากับ น.ส.วิริยา น้องสาวตน อย่างไรก็ตาม ตนได้ฟ้องศาลแพ่งในคดีดังกล่าวแล้วซึ่งศาลนัดฟังคำสั่งคดีต้นเดือนหน้านี้
“ตอนที่เขาเข้ามาเป็นเขยในบ้าน พามาแต่รถโฟล์คเก่าๆ แม่ก็ดูแลชุบเลี้ยงแต่ยังทำกับครอบครัวเราได้ถึงเพียงนี้ ที่มาร้องเรียนอยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างนี้ อยากให้เอาออกจากตำรวจ ไม่ใช่เที่ยวลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม อยากถามกลับไปว่าบุคลากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคนอย่างนี้ด้วยหรือ และหากวันนึงเขาได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.อะไรจะเกิดขึ้น” นางปทิตตา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายได้เข้าร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนที่จะเข้าแจ้งความที่กองปราบปราม ทว่า เรื่องกลับเงียบหาย โดยครั้งนี้ เมื่อสื่อพยายามสอบถามข้อเท็จจริงไปยัง พล.ต.ต.สุรพล กลับได้รับคำตอบว่า เป็นเรื่องภายในครอบครัว
วันนี้ (26 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่กองปราบปราม นางปทิตตา นิวาตวงศ์ อายุ 54 ปี ผอ.สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม ภาคใต้ อยู่บ้านเลขที่ 189 ซ.ลาดพร้าว 115 ถ.ลาดพร้าว เขตบางกะปี กทม.พร้อมด้วย น.ส.นิธิวรรณ นิวาตวงศ์ และ นางวันทนีย์ นิวาตวงศ์ น้องสาว เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมหลังก่อนหน้านี้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในข้อหาฉ้อโกง ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.ซึ่งสั่งให้มีการดำเนินคดีไปตามขั้นตอน ทางพนักงานสอบสวน จึงได้เชิญผู้เสียหายมาให้ปากคำอีกครั้งในวันนี้
นางปทิตตา กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2532 พล.ต.ต.สุรพล ซึ่งขณะนั้นมียศ “พ.ต.ท.” เป็นสามี นางชนัญชิดา หรือ วิริยา นิวาตวงศ์ น้องสาว ได้รับมอบอำนาจจาก นางนวลปราง นิวาตวงศ์ มารดาของตนให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองต่อ บริษัท ซินเซียทรัสท์ จำกัด ที่มารดาของตนชำระหนี้ไปแล้ว และให้รังวัดสอบเขตที่ดินจำนวน 6 แปลง มีอาณาเขตติดต่อกันรวม 5 โฉนด จำนวน 681 ตารางวา ในพื้นที่ ต.บางเขน (ลาดโตนด) อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งมารดาตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และโฉนดที่ดิน 1 แปลง ประมาณ 200 ตารางวา ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2532 พล.ต.ต.สุรพล ได้นำโฉนดที่ดิน จำนวน 5 แปลง ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินให้แก่ตัวเอง โดยนำหนังสือมอบอำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในที่ดินที่ลงลายมือชื่อไว้เพื่อการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง และการรังวัดสอบเขตที่ดินดังกล่าวไปกรอกข้อความเป็นการขายที่ดินให้แก่ตัวเอง และวันเดียวกันนั้น ได้นำที่ดินทั้ง 5 แปลงที่รับโอนไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมของตัวเอง ต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท โดยที่มารดาของตนไม่เคยรู้เห็น หรือรับเงินจากเขาแต่อย่างใด
นางปทิตตา กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2533 พล.ต.ต.สุรพล ก็จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 5 แปลง และของตนอีก 1 แปลง โอนใส่เป็นชื่อของตัวเองโดยมิชอบ และนำไปประกอบเอกสารประกันเงินกู้ของตัวเองต่อบริษัท เงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 24,000,000 บาท ทั้งที่ตนและมารดา ไม่ทราบเรื่อง
“เมื่อฉันและแม่ ทราบเรื่องก็ได้เรียกเขามาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยยอมรับผิดทุกอย่าง และรับปากว่า จะนำที่ดินทั้ง 6 แปลง โอนกรรมสิทธิ์กลับคืนมา โดยแม่บอกขอให้ลูกๆ อภัยให้เขา เพราะเป็นเขยคนแรกในบ้าน และยังรับราชการ มีอนาคตที่ดี จากนั้นได้มีการทวงถามมาโดยตลอดแต่ถูกบ่ายเบียง จนวันที่ 1 กันยายน 2537 เขาได้นำโฉนดที่ดินที่รับโอนมาทั้ง 6 แปลง โดยมิชอบไปจดทะเบียนจำนองเพิ่มวงเงินเป็นประกันเงินกู้ยืม จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) อีก 100 ล้าน ด้วยวิธีระงับจำนอง และจดทะเบียนจำนองใหม่ ทั้งที่มารดาและพวกฉันไม่ทราบเรื่อง” นางปทิตตา กล่าว
นางปทิตตา กล่าวว่า จนครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี พ.ศ.2549 เขาได้มาต่อรองกับแม่ ว่า จะขอชำระเงิน 50 ล้านบาท ภายในเวลา 6 เดือน ให้แทนการโอนที่ดินทั้ง 6 แปลงคืน เนื่องจากธุรกิจในครอบครัวล้มเหลว และถูกกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ซึ่งรับโอนกรรมสิทธิ์จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) ฟ้องบังคับ จนนางนวลปราง มารดา ล้มป่วยและมาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2550 และเมื่อครบกำหนดทำบุญ พล.ต.ต.สุรพล ได้พูดต่อหน้าพี่น้องทุกคนว่าจะไม่ชำระหนี้แทนการโอนที่ดินทั้ง 6 แปลงกลับคืน จึงนำเรื่องร้อง พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.ซึ่งต่อมา เขาก็รับปากว่าจะคืนที่ดินให้ แต่ก็ยังไม่คืนให้สักที อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็ได้จดทะเบียนหย่ากับ น.ส.วิริยา น้องสาวตน อย่างไรก็ตาม ตนได้ฟ้องศาลแพ่งในคดีดังกล่าวแล้วซึ่งศาลนัดฟังคำสั่งคดีต้นเดือนหน้านี้
“ตอนที่เขาเข้ามาเป็นเขยในบ้าน พามาแต่รถโฟล์คเก่าๆ แม่ก็ดูแลชุบเลี้ยงแต่ยังทำกับครอบครัวเราได้ถึงเพียงนี้ ที่มาร้องเรียนอยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างนี้ อยากให้เอาออกจากตำรวจ ไม่ใช่เที่ยวลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม อยากถามกลับไปว่าบุคลากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคนอย่างนี้ด้วยหรือ และหากวันนึงเขาได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.อะไรจะเกิดขึ้น” นางปทิตตา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายได้เข้าร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนที่จะเข้าแจ้งความที่กองปราบปราม ทว่า เรื่องกลับเงียบหาย โดยครั้งนี้ เมื่อสื่อพยายามสอบถามข้อเท็จจริงไปยัง พล.ต.ต.สุรพล กลับได้รับคำตอบว่า เป็นเรื่องภายในครอบครัว