รอง ผบช.น.ปัดข่าวสหกรณ์ตำรวจนครบาลถูกโกงเงิน 50 ล้าน ระบุมีนายทุนนำเงินมาปล่อยให้ ตร.ที่ทำหน้าที่ในสหกรณ์ปล่อยเงินกู้ให้เรียกดอกราคาสูงกว่าสหกรณ์ ส่วนบทลงโทษทางวินัยต้องรอดูว่ามีผู้มาร้องเรียนหรือไม่ และต้องมีพยานหลักฐานเอาผิดด้วย
วันนี้ (14 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. ในฐานะ โฆษก บช.น. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล โกงเงินกู้สหกรณ์ตำรวจนครบาลจำนวน 50 ล้านบาทว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การโกงเงินของสหกรณ์ แต่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหกรณ์บางคนที่หากินด้วยการปล่อยเงินกู้นอกระบบ โดยจะเจรจาตกลงกับตำรวจที่มารอขอกู้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยจะสำรองจ่ายเงินไปก่อน และมีตำรวจที่เป็นสมาชิกสหกรณ์บางส่วนที่มากู้เงินสหกรณ์หลงไปใช้บริการนอกระบบนั้น
พล.ต.ต.สุพร กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางสหกรณ์ได้แก้ปัญหาดังกล่าวทำให้สมาชิกฯ กู้ได้เร็วขึ้น ขณะนี้สมาชิกฯ ไม่มีใครเดือดร้อน เมื่อส่งเรื่องขอกู้ก็จะมีการอนุมัติรวดเร็วขึ้น เพื่อตัดวงจรเงินนอกระบบนั้น ทำให้ไม่สามารถที่จะหมุนเงินส่วนนั้นได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้เห็นกันเฉพาะสมาชิกฯ คนนั้นกับเจ้าหน้าที่ในสหกรณ์บางคน ที่ยอมจ่ายเงินลักษณะค่าปากถุงกันเอง ไม่เกี่ยวกับทางสหกรณ์ฯ แม้แต่อย่างใด และยืนยันว่าระบบสหกรณ์ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลยังมั่นคงดีไม่มีปัญหา
“กรณีที่ระบุว่ามีการโกงเงินกันมากจำนวนถึง 50 ล้านบาทนั้น ผมเชื่อว่าน่าจะมีลักษณะนายทุนเข้ามาหาประโยชน์โดยการให้สมาชิกฯ กู้ยืมมากกว่า ตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สหกรณ์ฯ เองไม่น่าจะมีเงินมากขนาดนั้น นายทุนที่มีเงินติดต่อรู้จักกับเจ้าหน้าที่บางคน เอาเงินมาให้ช่วยปล่อยหาสมาชิกฯ บางคนที่ต้องการเงินเร็วๆ ก็เอา โดยยินยอมจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าของสหกรณ์ฯ สำหรับการที่จะดำเนินการขั้นวินัยก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้มาร้องเรียนเอาโทษเจ้าหน้าที่สหกรณ์ฯ ที่กระทำดังกล่าวเพียงใด เราจะต้องมีพยานมายืนยันเอาผิดด้วย” รอง ผบช.น. กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สืบเนื่องจากมีตำรวจยศ ด.ต.หญิงรายหนึ่งสังกัดสหกรณ์ออมทรัพย์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล เชิดเงินจำนวน 50 ล้านบาทหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่ได้มาปฏิบัติราชการเป็นเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยมีพฤติการณ์ที่จะมีการระดมทุนจากนายตำรวจระดับสูง และบุคคลที่มีฐานะทางการเงินดี เพื่อนำเงินมาปล่อยกู้แก่ข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยในกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ขอยื่นกู้ ระหว่างรอการอนุมัติตามระเบียบทางราชการ โดยมีการเสนอให้มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่มีอัตราสูงกว่าปกติ ทำให้มีผู้ที่หลงเชื่อนำเงินมาระดมทุนเพื่อปล่อยกู้จำนวนหลายราย กระทั่งมีเงินหมุนเวียนจำนวนหลายล้านบาท จนในที่สุด ด.ต.หญิงคนดังกล่าวได้เชิดเงินหนีไปในที่สุด