xs
xsm
sm
md
lg

กล้องจับฝ่าไฟแดงทำเงิน 25 ล้าน ตร.แบ่งครึ่ง กทม.-ลูกน้อง

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.ต.ภาณุ  เกิดลาภผล  รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร
“ภาณุ” พอใจผลงานหมายเรียกจับปรับฝ่าไฟแดง โวกว่า 4 เดือน เก็บค่าปรับได้ 25 ล้านบาทเศษ แท็กซี่ยังครองแชมป์ เผยค่าปรับที่ได้รับนำส่งให้ กทม.ครึ่ง ที่เหลือส่งเข้าบัญชีลูกน้องยศระดับ “พ.ต.ท.” ลงมาตามลำดับ เพื่อเป็นเงินรางวัลในการทำงานคนละไม่เกิน 1 หมื่นบาท เตรียมแผนของบติดตั้งกล้องจับผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎจราจรเพิ่ม

วันนี้ (12 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร กล่าวถึงการดำเนินการส่งหมายเรียกรถยนต์ที่ขับฝ่าไฟแดงมาเสียค่าปรับ ว่า รถยนต์ที่มีผู้ขับขี่ขับฝ่าฝืนแยกต่างๆ จำนวน 30 จุดที่กระจายอยู่ทั่ว กทม.เริ่มจับปรับอัตรา 500 บาท มาตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.จนถึงวันนี้ผ่านมาแล้วเป็นระยะเวลา 4 เดือน เฉลี่ยแล้วเหลือประมาณ 7-8 หมื่นคันต่อเดือน เฉลี่ยมีคนขับผ่าสัญญาณไฟแดงตกวันละประมาณ 1,000 กว่าราย ซึ่งเปรียบเทียบแล้วผู้ขับขี่ฝ่าสัญญาณไฟแดงลดลง ซึ่งตนดูจากแผนภูมิที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ขับขี่ฝ่าไฟแดงเดือน ม.ค.มีประมาณ 1.2 แสนราย เดือน ก.พ.ประมาณ 9 หมื่นราย เดือนมี.ค.ประมาณ 8 หมื่นกว่าราย เดือน เม.ย.ประมาณ 7 หมื่นกว่าราย โดยมีรถแท็กซี่เป็นแชมป์ฝ่าไฟแดงเช่นเดิม ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจัดส่งใบเรียกมาเสียค่าปรับได้ทันชนิดเกือบจะวันต่อวันแล้ว

พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อไปว่า สำหรับค่าปรับฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงนั้น มีการจัดส่ง กทม.ไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเป็นเงินรางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติงาน เช่น คนพิมพ์หมายเรียก เป็นต้น ข้าราชการตำรวจยศระดับ พ.ต.ท.ลงมา ตามระเบียบเขียนไว้ชัดเจน คือ จัดเงินรางวัลเข้าบัญชีธนาคารให้คนละไม่เกิน 1 หมื่นบาท เท่ากันกับตำรวจท้องที่ต่างๆ เมื่อมีเงินค่าปรับเหลือมาก หลังจากส่งไปให้ กทม.ก็จะเสนอโครงการของบประมาณ กลับมาเตรียมจะเพิ่มติดตั้งกล้องตรวจจับฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง หรือ เรดไลท์คาเมร่า อีก 30 ทางแยก ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาว่าจะใช้บริษัทเก่าหรือเลือกบริษัทใหม่ กำลังให้เสนอราคามาเลือก 2-3 บริษัท

จากข้อมูลสถิติจากศูนย์สั่งการจราจร บก.02 แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2551 ถึง 30 เม.ย. 2552 ที่ผ่านมา มีการพิจารณาออกหมายเรียกให้มาเสียค่าปรับข้อหาฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง(เรดไลท์คาเมร่า) แล้ว จำนวน 183,303 ใบ มีผู้มารายงานตัวเสียค่าปรับแล้วจำนวน 51,221 ราย คิดเป็นมูลค่า 25,610,500 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น