การประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีฆาตกรรมนายกรเทพ วิริยะ หรือ ชิปปิ้งหมู พยานสำคัญในคดีหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรของบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ที่ถูกคนร้ายจ่อยิงสังหารอย่างโหดเหี้ยมในพื้นที่ จ.เชียงราย ซึ่งภายหลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.และพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.รื้อฟื้นคดีสำคัญรวม 4 คดีขึ้นมาอีกครั้ง
ประเด็นสำคัญ ที่ พล.ต.อ.ธานี ออกมาระบุภายหลังประชุมพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า คดีฆาตกรรมชิปปิ้งหมูนั้น พนักงานสอบสวนชุดเดิมไม่ได้มุ่งประเด็นที่ นายกรเทพ เป็นพยานในคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินแซท แต่กลับมุ่งไปยังประเด็นยาเสพติด ซึ่งพนักงานสอบสวนชุดนี้ ไม่พบว่า การเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ไปเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดแต่อย่างใด คำถามจึงเกิดตามมาว่า เหตุไฉน พนักงานสอบสวนชุดเดิม จึงมุ่งการฆาตกรรมชิปปิ้งหมูว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เรื่องนี้ ทำให้เรานึกคำตอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคำตอบนั้น ไม่ได้อยู่ที่ใครที่ไหน แต่อยู่ที่ชายผู้มีนามว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เชื่อตามไปดูกัน
ย้อนกลับไปปี 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครั้งนั้นมีการแฉคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด ของตระกูลชินวัตร โดยนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับข้อมูลสำคัญมาจาก นายกรเทพ นั่นเอง และหลังจากที่เรื่องดังกล่าวถูกเปิดโปงขึ้น นายกรเทพ ซึ่งถือเป็นพยานคนสำคัญ ต้องระเห็จหลบหนีไปกบดานยังสถานที่ต่างๆ แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2546 นายกรเทพ หรือ ชิปปิ้งหมู ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตด้วยอาวุธปืน 9 มม.เข้าท้ายทอย กกหูซ้าย และลำตัวรวม 3 นัด บริเวณทางขึ้นดอยพื้นที่หมู่บ้านแสนใจ รอยต่อระหว่าง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน กับ ต.แม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทราบข่าวการเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ได้ออกมาระบุเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2546 ว่า “หากถามว่า รู้จักประวัติของชิปปิ้งหมูมากน้อยแค่ไหน เข้าใจว่าจะรู้จัก นายสุภาพ สีแดง ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้มากกว่า….ผมทราบเรื่องเมื่อคืน ดูข่าวแล้วก็ตกใจว่า เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท ชินฯเลย บริษัท ชินฯ เขาเสียภาษีหรือเสียค่าตอบแทนให้กับรัฐปีหนึ่งสองหมื่นกว่าล้านบาท ไอ้ที่พูดกันนี่มันนิดเดียว ทุกฝ่ายก็ออกมาระบุแล้วว่า มันถูกต้อง มันไม่มีอะไร ทำไมต้องไปวิตก ไม่เห็นมีอะไรน่าวิตก คนที่วิตกไปเอง คือ คนที่หาเรื่องมากกว่า”
ถัดมาวันที่ 28 มี.ค.2546 พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงการเสียชีวิตของชิปปิ้งหมูอีกครั้งว่า “นายกรเทพ ไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพ ยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย”
คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ ได้พูดถึง 2 ครั้ง ในเวลา 2 วันติดต่อกัน ย่อมเป็นคำตอบที่กระจ่างว่า เหตุไฉน พนักงานสอบสวนชุดเดิม จึงมุ่งการฆาตกรรมชิปปิ้งหมูว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมบวกประเด็นชู้สาวเข้าอีกประเด็นหนึ่งด้วย
วจีอันเสนาะโสตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นเงื่อนปมที่ย้อนกลับมามัดตัวเองในคดีฆาตกรรมชิปปิ้งหมูเท่านั้น เมื่อคดีถูกพนักงานสอบสวนชุดใหม่ขุดคุ้นขึ้นมา แม้แต่คดีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตนักกฏหมายสิทธิมนุษยชน ก็กลายเป็นเงื่อนกระตุกที่กลับมารัดคอ พ.ต.ท.ทักษิณ เองเช่นกัน
นายสมชาย หายตัวออกจากบ้านไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547 โดยมีพยานยืนยันว่า นายสมชาย ถูกอุ้มไปจากหน้าโรงแรมชาลีนาในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว เมื่อการหายตัวไปของทนายสมชายเป็นข่าวคึกโครม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ออกมาระบุหลังจากนั้นไม่กี่วันว่า “นายสมชาย ไม่ได้หายตัวไปไหน เพียงแต่มีปัญหาทะเลาะกับภรรยาจึงหลบมาอยู่ที่กรุงเทพฯ และตัดขาดการติดต่อจากคนอื่น”
วันเวลาผ่านไปหลายปี จนเป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ทนายสมชาย ถูกอุ้มไปสังหาร ทว่ารัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ยอมรับ จนในที่สุด เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นการมัดคอตัวเองอีกครั้งว่า “ที่ผ่านมา มันเป็นคดีหน่วงเหนี่ยว ไม่ใช่คดีฆ่าคนตาย เพราะปกติการจะตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ต้องพบหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าคนนั้นตายแล้ว ถึงจะบอกได้ว่าเป็นคดีฆ่าคนตาย ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังทำสำนวนเรื่องนี้เพื่อนำไปสู่คดีฆ่าคนตาย”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การติดตามตัวทนายสมชายจะดำเนินการอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “เขาพบร่องรอยบางอย่าง” เมื่อถามอีกว่า ขณะนี้ระบุได้หรือยังว่า ทนายสมชาย เสียชีวิตแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า "ทราบว่า เสียชีวิตแล้ว แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางคดี ให้ดีเอสไอเขาสรุปสำนวน ประมาณเดือน ก.พ. จะสรุปสำนวนเสร็จ”
ลมปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้เพิ่งมาโกหกพกลมในช่วงที่หมดอำนาจวาสนา ไร้ถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างในปัจจุบันเท่านั้น แม้แต่ในอดีต เมื่อครั้งยังเรืองอำนาจ มากล้นด้วยบารมี และเหล่าบริวาร ก็ได้แสดงให้เห็นธาตุแท้แล้วว่า แม้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็สามารถพูดจาโกหกพกลมได้ โดยไม่ได้ให้เกียรติและคำนึงถึงร่างที่ไร้วิญญาณของนายกรเทพ วิริยะ หรือชิปปื้งหมู รวมทั้งวิญญาณที่ไร้ร่างของนายสมชาย นีละไพจิตร แม้แต่น้อย เขาล่ะ...“นช.พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ไม่ต่างจาก “นนทุก” ที่ถึงกาลวิบัติเพราะจิตอาฆาต และต้องมาดับชีวิตด้วยนิ้วเพชรพิฆาตของตัวเอง!!!
ประเด็นสำคัญ ที่ พล.ต.อ.ธานี ออกมาระบุภายหลังประชุมพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า คดีฆาตกรรมชิปปิ้งหมูนั้น พนักงานสอบสวนชุดเดิมไม่ได้มุ่งประเด็นที่ นายกรเทพ เป็นพยานในคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินแซท แต่กลับมุ่งไปยังประเด็นยาเสพติด ซึ่งพนักงานสอบสวนชุดนี้ ไม่พบว่า การเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ไปเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดแต่อย่างใด คำถามจึงเกิดตามมาว่า เหตุไฉน พนักงานสอบสวนชุดเดิม จึงมุ่งการฆาตกรรมชิปปิ้งหมูว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เรื่องนี้ ทำให้เรานึกคำตอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคำตอบนั้น ไม่ได้อยู่ที่ใครที่ไหน แต่อยู่ที่ชายผู้มีนามว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เชื่อตามไปดูกัน
ย้อนกลับไปปี 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครั้งนั้นมีการแฉคดีเลี่ยงภาษีการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารของบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด ของตระกูลชินวัตร โดยนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับข้อมูลสำคัญมาจาก นายกรเทพ นั่นเอง และหลังจากที่เรื่องดังกล่าวถูกเปิดโปงขึ้น นายกรเทพ ซึ่งถือเป็นพยานคนสำคัญ ต้องระเห็จหลบหนีไปกบดานยังสถานที่ต่างๆ แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2546 นายกรเทพ หรือ ชิปปิ้งหมู ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตด้วยอาวุธปืน 9 มม.เข้าท้ายทอย กกหูซ้าย และลำตัวรวม 3 นัด บริเวณทางขึ้นดอยพื้นที่หมู่บ้านแสนใจ รอยต่อระหว่าง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน กับ ต.แม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทราบข่าวการเสียชีวิตของชิปปิ้งหมู ได้ออกมาระบุเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2546 ว่า “หากถามว่า รู้จักประวัติของชิปปิ้งหมูมากน้อยแค่ไหน เข้าใจว่าจะรู้จัก นายสุภาพ สีแดง ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้มากกว่า….ผมทราบเรื่องเมื่อคืน ดูข่าวแล้วก็ตกใจว่า เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท ชินฯเลย บริษัท ชินฯ เขาเสียภาษีหรือเสียค่าตอบแทนให้กับรัฐปีหนึ่งสองหมื่นกว่าล้านบาท ไอ้ที่พูดกันนี่มันนิดเดียว ทุกฝ่ายก็ออกมาระบุแล้วว่า มันถูกต้อง มันไม่มีอะไร ทำไมต้องไปวิตก ไม่เห็นมีอะไรน่าวิตก คนที่วิตกไปเอง คือ คนที่หาเรื่องมากกว่า”
ถัดมาวันที่ 28 มี.ค.2546 พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงการเสียชีวิตของชิปปิ้งหมูอีกครั้งว่า “นายกรเทพ ไปอยู่ที่เชียงราย ก่อนเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2543 และไปมีภรรยาเป็นชาวอีก้อ นายกรเทพ ยังไปอยู่ในหมู่บ้านที่มีกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผมก็จำไม่ได้ แต่ทราบว่า ถูกยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด และบริเวณนั้นเป็นย่านที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากมาย”
คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ ได้พูดถึง 2 ครั้ง ในเวลา 2 วันติดต่อกัน ย่อมเป็นคำตอบที่กระจ่างว่า เหตุไฉน พนักงานสอบสวนชุดเดิม จึงมุ่งการฆาตกรรมชิปปิ้งหมูว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมบวกประเด็นชู้สาวเข้าอีกประเด็นหนึ่งด้วย
วจีอันเสนาะโสตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นเงื่อนปมที่ย้อนกลับมามัดตัวเองในคดีฆาตกรรมชิปปิ้งหมูเท่านั้น เมื่อคดีถูกพนักงานสอบสวนชุดใหม่ขุดคุ้นขึ้นมา แม้แต่คดีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตนักกฏหมายสิทธิมนุษยชน ก็กลายเป็นเงื่อนกระตุกที่กลับมารัดคอ พ.ต.ท.ทักษิณ เองเช่นกัน
นายสมชาย หายตัวออกจากบ้านไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547 โดยมีพยานยืนยันว่า นายสมชาย ถูกอุ้มไปจากหน้าโรงแรมชาลีนาในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว เมื่อการหายตัวไปของทนายสมชายเป็นข่าวคึกโครม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ออกมาระบุหลังจากนั้นไม่กี่วันว่า “นายสมชาย ไม่ได้หายตัวไปไหน เพียงแต่มีปัญหาทะเลาะกับภรรยาจึงหลบมาอยู่ที่กรุงเทพฯ และตัดขาดการติดต่อจากคนอื่น”
วันเวลาผ่านไปหลายปี จนเป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ทนายสมชาย ถูกอุ้มไปสังหาร ทว่ารัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ยอมรับ จนในที่สุด เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นการมัดคอตัวเองอีกครั้งว่า “ที่ผ่านมา มันเป็นคดีหน่วงเหนี่ยว ไม่ใช่คดีฆ่าคนตาย เพราะปกติการจะตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ต้องพบหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าคนนั้นตายแล้ว ถึงจะบอกได้ว่าเป็นคดีฆ่าคนตาย ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังทำสำนวนเรื่องนี้เพื่อนำไปสู่คดีฆ่าคนตาย”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การติดตามตัวทนายสมชายจะดำเนินการอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “เขาพบร่องรอยบางอย่าง” เมื่อถามอีกว่า ขณะนี้ระบุได้หรือยังว่า ทนายสมชาย เสียชีวิตแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า "ทราบว่า เสียชีวิตแล้ว แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางคดี ให้ดีเอสไอเขาสรุปสำนวน ประมาณเดือน ก.พ. จะสรุปสำนวนเสร็จ”
ลมปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้เพิ่งมาโกหกพกลมในช่วงที่หมดอำนาจวาสนา ไร้ถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างในปัจจุบันเท่านั้น แม้แต่ในอดีต เมื่อครั้งยังเรืองอำนาจ มากล้นด้วยบารมี และเหล่าบริวาร ก็ได้แสดงให้เห็นธาตุแท้แล้วว่า แม้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็สามารถพูดจาโกหกพกลมได้ โดยไม่ได้ให้เกียรติและคำนึงถึงร่างที่ไร้วิญญาณของนายกรเทพ วิริยะ หรือชิปปื้งหมู รวมทั้งวิญญาณที่ไร้ร่างของนายสมชาย นีละไพจิตร แม้แต่น้อย เขาล่ะ...“นช.พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ไม่ต่างจาก “นนทุก” ที่ถึงกาลวิบัติเพราะจิตอาฆาต และต้องมาดับชีวิตด้วยนิ้วเพชรพิฆาตของตัวเอง!!!