xs
xsm
sm
md
lg

วิญญาณเหยื่อสาวดลใจ ลากคอฆาตกรข่มขืนปาดคอ!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

"ผมเป็นคนฆ่าเธอเอง ผมแอบชอบเธอ แต่เธอไม่เล่นด้วย ด้วยความที่เธออยากทำธุรกิจขายตรงเครื่องสำอางค์ เธอมาชวนเมียผมไปเป็นสมาชิก ผมจึงได้โอกาสชวนเธอมาทำบัตรเครดิตด้วย จากนั้น ก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน จนผมได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมา วันเกิดเหตุ ผมออกไปทำงานตามปกติ แต่ช่วงเที่ยง ผมโทรศัพท์ไปถามเธอว่าอยู่ที่ห้องคนเดียวหรือเปล่า เมื่อได้คำตอบว่าอยู่คนเดียว ผมจึงรีบกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์เพื่อมาหาเธอที่ห้อง โดยอ้างว่า จะเอาเอกสารเกี่ยวกับบัตรเครดิตมาให้ดูและพูดคุยเรื่องการทำสติ๊กเกอร์ของอพาร์ทเม้นท์ ผมมาเคาะประตูห้อง เธอเปิดประตูให้ ผมจึงผลักประตูเข้าไปและพูดจาขอความรัก แต่เธอปฏิเสธ ผมจึงบีบคอจนหมดสติและข่มขืนเธอ ก่อนจะคว้าเอามีดที่อยู่หลังห้องมาปาดคอเพื่อปิดปากเธอ และล้างทำความสะอาดไว้ที่เดิม จากนั้น ผมก็เอาสร้อยคอที่เธอใส่และโทรศัพท์มือถือติดมือออกมาจากห้องด้วย"

นี่คือคำสารภาพของนายประภาส แสงขาว อายุ 34 ปี ชาวจังหวัดเลย ผู้ต้องหาฆ่าน.ส.ศศิวิมล หรือหนิง เพชรศรี อายุ 23 ปี นศ.มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ สาขาขนส่ง ภายหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้นสอบปากคำอย่างหนักจนต้องยอมรับสารภาพ

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.5 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสน.คลองตัน ไม่ได้สงสัยหรือพุ่งเป้าไปยังนายประภาสเลย เนื่องจากมีวัยรุ่นและผู้ชายที่พักอาศัยอยู่ ต่างทำเรื่องขอย้ายออก โดยอ้างว่ากลัว ส่วนตัวนายประภาสยังคงใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องสงสัยพร้อมกับแฟนหนุ่มของผู้ตายไปสอบปากคำ และตรวจดีเอ็นเอ แต่ก็พบว่าไม่ใช่คนร้ายตัวจริง เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังกันออกหาเบาะแสจากคนในอพาร์ทเม้นท์อย่างละเอียด จนพอจะได้เค้าลางมาบ้าง ซึ่งเบาะแสดังกล่าว ได้มาจากแม่ค้าที่ขายข้าวข้างอพาร์ทเม้นท์ โดยแม่ค้ายอมเปิดปากว่า แม่บ้านของอพาร์ทเท้นท์มาเล่าให้ฟังว่า วันเกิดเหตุมีผู้ชายที่พักอยู่ชั้น 4 กลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ ซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยกลับมาตอนกลางวันหลังจากนั้นก็รีบร้อนออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่แม่บ้านไม่เล่าให้ตำรวจฟังก็เพราะความกลัว

แนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจในเบื้องต้น ยังคงพุ่งเป้าไปที่"คนใน" เนื่องจาก จากการตรวจสอบห้องที่เกิดเหตุ ไม่ได้มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า คนร้ายเป็น"คนนอก" ทั้งประตู ก็ไม่ได้มีรอยงัดแงะ ภายในห้องก็ไม่ได้มีร่องรอยการต่อสู้ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้น "เหยื่อ"ต้องรู้จักกับคนร้าย และเป็นผู้เปิดประตูรับมัจจุราชเข้าไปภายในห้องเอง ขณะเดียวกัน พิรุธของนายประภาสก็ไม่ได้ถูกแสดงออกมา เพราะในวันที่ตำรวจไปพบศพ นายประภาสเอง ก็ยังพักอยู่ภายในห้องของตนเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งลี้ลับที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็ได้ปรากฏขึ้น เมื่อเพื่อนๆและญาติของผู้ตาย ต่างพากันมาเล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีฟังว่า วิญญาณของผู้ตายมาเข้าฝัน โดยบอกว่าคนที่ฆ่าพักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้!

ตำรวจชุดสืบสวน ของ พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.น.6 และ พ.ต.ท.เอกวีร์ พงษ์สร้อยเพชร รองผกก. กับทีมงาน เริ่มมีความมั่นใจตามแนวทางการสืบสวนในชั้นต้นว่า ฆาตกรจะต้องเป็น"คนใน" แน่นอน ภายหลังจากที่บรรดาเพื่อนๆและญาติผู้ตายนำข้อมูลดังกล่าวมาเล่าให้ฟัง กอปรกับบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ทีมสืบสวนบางคน"ขนหัวลุก" ก็เริ่มมีความมั่นใจในการล่าตัวฆาตกรเช่นเดียวกัน

ต่อมา เมื่อตำรวจได้สอบปากคำแม่บ้านของอพาร์ทเม้นท์ จนข้อมูลที่ได้พุ่งเป้าไปยังนายประภาสแล้ว การสืบหาตัวคนร้ายเริ่มแคบลง เนื่องจากต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน เพราะอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวต้องใช้คียการ์ดทั้งเข้าและออก จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ได้ไปสอบปากคำนายประภาส ซึ่งเบื้องต้น นายประภาสให้การว่าไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยอมรับว่ารู้จักกับผู้ตาย เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่า เมื่อวันที่ 16 ม.ค.เวลาประมาณ 12.00 น.ได้กลับเข้ามาที่อพาร์ทเม้นท์หรือไม่ นายประภาสตอบว่าไม่ จึงเป็นจุดที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับพิรุธได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปที่ธนาคารเพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดและเวลาเข้าออกของพนักงาน จึงทราบว่านายประภาสออกมาจากธนาคารในเวลาดังกล่าวจริง ถ้านายประภาสไม่ใช่คนก่อเหตุทำไมจึงต้องโกหก?

เมื่อนายประภาสยังไม่ยอมรับสารภาพ ตำรวจก็เบนเข็มไปสอบปากคำ ภรรยา และลูก รวมทั้งเพื่อนๆของนายประภาส โดยภรรยานายประภาสได้ให้การอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งลูกชายวัย 4 ขวบยังบอกกับตำรวจว่า "พ่อเอาทองไปจำนำที่ร้านทองร้านหนึ่ง" ตำรวจจึงกลับไปถามนายประภาส ก็ได้ตำตอบว่า เป็นทองของภรรยาที่จะเอาไปจำนำ แต่ร้านทองให้ราคาต่ำจึงเปลี่ยนร้าน แต่ภรรยากลับบอกว่าไม่มีทรัพย์สินใดๆเลย จะเอาทองที่ไหนไปจำนำได้อย่างไร เมื่อสองสามีภรรยาให้การไม่ตรงกัน ตำรวจจึงนำตัวแยกกันสอบปากคำ และก็พบพิรุธในตัวนายประภาสหลายอย่าง โดยเพื่อนของนายประภาสยังให้การอีกว่าได้เดินทางไปเที่ยวกันที่ จ.สุพรรณบุรีและได้ชักชวนกันทำบุญ แต่นายประภาสกลับขอทำสังฆทานคนเดียว เพื่อจะอุทิศส่วนกุศลให้คนๆหนึ่ง ซึ่งก็เป็นที่แปลกใจของเพื่อนๆเพราะนายประภาสไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ก็คือ โทรศัพท์มือถือที่นายประภาสเอาของคนตายมาใช้ โดยถอดซิมการ์ดเปลี่ยนหน้ากากใหม่ แต่ในแนวทางการสืบสวนก็สามารถใช้เทคนิคสืบค้นได้ไม่ยาก

ตำรวจจึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานจนปักใจเชื่อได้ว่า คนร้ายรายนี้ คือนายประภาสอย่างแน่นอน จึงเค้นสอบทั้งคืน จนนายประภาสเริ่มกลัวและอ่อนเพลีย แต่ก็ยังไม่ยอมรับสารภาพ ตำรวจจึงได้นำตัวภรรยาเข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง เมื่อนายประภาสเห็นหน้าภรรยาก็ยิ่งเกิดความกลัว เพราะให้การกับตำรวจไม่ตรงกันกับที่ภรรยาพูดไว้ ในที่สุด นายประภาสตรงเข้าจับไหล่ภรรยาแล้วรับสารภาพ เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น.ของวันที่ 27 ม.ค. ว่า"ผมเป็นคนฆ่าเธอเองครับ"!

จับแล้วฆาตกรแอบรักพรากวิญญาณข่มขืน-ปาดคอ นศ.เกษมบัณฑิต!
ตร.ปักใจคนใกล้ชิด ฆ่าปาดคอ นศ.สาวทิ้ง!
ฆ่าปาดคอสาว ม.เกษมบัณฑิตหมกห้อง คาดปมฆ่าข่มขืน
น.ส.ศศิวิมล หรือหนิง เพชรศรี
นายประภาส แสงขาว ฆาตกร
กำลังโหลดความคิดเห็น