ลูกชายตำรวจขโมยปืน .357 ของพ่อยิงตัวตาย มารดาระบุผู้ตายเคยทำงานเป็นลูกจ้างสหกรณ์ตำรวจ แต่ลาออกเพราะป่วยเป็นไวรัสซี บ่อยครั้งที่ความเครียดกำเริบ ขณะที่ลูกชายตัดสินใจยิงตัวเอง คนในครอบครัวไม่มีใครอยู่บ้าน แต่สังเกตเห็นมีอาการเหม่อลอยผิดปกติ ซึ่งไม่เอะใจอะไรจนเกิดเรื่องขึ้น
วันนี้ (19 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ร.ต.ท.(หญิง) ธนวรรณ สูญทุกข์ ร้อยเวร สน.ทุ่งสองห้อง ได้รับแจ้งว่ามีผู้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต ภายในห้องเลขที่ 101 ชั้นที่ 1 อาคาร 7 แฟลตตำรวจส่วนกลาง สน.ทุ่งสองห้อง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน แพทย์นิติเวช และจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
จากการตรวจสอบในห้องที่เกิดเหตุ พบศพนายนพสิทธิ์ สุทธิวิเศษโชตน์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 212/757 หมู่ 5 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.สภาพศพนอนตะแคงขวาคว่ำหน้า จมกองเลือดอยู่บนที่นอน สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีเขียว นุ่งกางเกงขาสั้นสีบรอนซ์เทา มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาด .357 เข้าที่ขมับข้างซ้ายกระสุนฝังใน จำนวน 1 นัด ใกล้กันพบอาวุธปืนลูกโม่ขนาด .357 ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน ตกอยู่ที่บริเวณปลายเท้าของผู้ตาย 1 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นางเพ็ญศรี สุทธิวิเศษโชตน์ อายุ 57 ปี มารดาผู้ตาย กล่าวว่า นายนพสิทธิ์ ผู้ตายเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของตนกับ พ.ต.ท.สมประสงค์ สุทธิวิเศษโชตน์ อดีต รอง ผกก.กองนิติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเกษียณอายุราชการมาได้ 3 ปีแล้ว แต่ยังคงรับตำแหน่งช่วยงานที่กองนิติการอยู่ โดยก่อนหน้านี้ผู้ตายเคยทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่สหกรณ์ตำรวจแต่ระยะหลังเกิดป่วยเป็นโรคไวรัสซี ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.บำราศนราดูร จ.นนทบุรี บ่อยครั้งที่อาการกำเริบเกิดความเครียดจนนอนไม่หลับผู้ตายจึงตัดสินใจลาออกมาพักอยู่บ้านเฉยๆ
นางเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า ปกติห้องนี้จะมีคนพักอาศัยอยู่รวม 5 คน คือตน สามี ผู้ตาย และลูกชายอีก 2 คน โดยก่อนเกิดเหตุทุกคนออกไปทำธุระนอกบ้านกันหมด ส่วนตนก็ออกไปซื้อกับข้าว มีแต่ผู้ตาย ที่นั่งดูทีวี อยู่ในห้องเพียงลำพัง ซึ่งตนสังเกตเห็นว่าวันนี้ผู้ตายมีอาการเหม่อลอยมากผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร กระทั่งกลับจากตลาดมาถึงห้องก็พบว่าผู้ตายขโมยปืนของพ่อซึ่งซุกอยู่ใต้เตียงออกมายิงตัวเองจนเสียชีวิตแล้ว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า นายนพสิทธิ์ ผู้ตายคงจะเกิดอาการเครียดจากโรคไวรัสซีกำเริบ จึงตัดสินใจขโมยปืนพ่อออกมายิงตัวเองดังกล่าว อย่างไรก็ตามจะต้องส่งมอบศพให้มูลนิธินำไปผ่าชันสูตรที่สถาบันนิติเวช ก่อนเรียกญาติพี่น้องและพยานแวดล้อมมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งจึงจะสามารถสรุปสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ต่อไป
วันนี้ (19 ม.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ร.ต.ท.(หญิง) ธนวรรณ สูญทุกข์ ร้อยเวร สน.ทุ่งสองห้อง ได้รับแจ้งว่ามีผู้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต ภายในห้องเลขที่ 101 ชั้นที่ 1 อาคาร 7 แฟลตตำรวจส่วนกลาง สน.ทุ่งสองห้อง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน แพทย์นิติเวช และจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
จากการตรวจสอบในห้องที่เกิดเหตุ พบศพนายนพสิทธิ์ สุทธิวิเศษโชตน์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 212/757 หมู่ 5 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.สภาพศพนอนตะแคงขวาคว่ำหน้า จมกองเลือดอยู่บนที่นอน สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีเขียว นุ่งกางเกงขาสั้นสีบรอนซ์เทา มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาด .357 เข้าที่ขมับข้างซ้ายกระสุนฝังใน จำนวน 1 นัด ใกล้กันพบอาวุธปืนลูกโม่ขนาด .357 ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน ตกอยู่ที่บริเวณปลายเท้าของผู้ตาย 1 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน นางเพ็ญศรี สุทธิวิเศษโชตน์ อายุ 57 ปี มารดาผู้ตาย กล่าวว่า นายนพสิทธิ์ ผู้ตายเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของตนกับ พ.ต.ท.สมประสงค์ สุทธิวิเศษโชตน์ อดีต รอง ผกก.กองนิติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเกษียณอายุราชการมาได้ 3 ปีแล้ว แต่ยังคงรับตำแหน่งช่วยงานที่กองนิติการอยู่ โดยก่อนหน้านี้ผู้ตายเคยทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่สหกรณ์ตำรวจแต่ระยะหลังเกิดป่วยเป็นโรคไวรัสซี ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.บำราศนราดูร จ.นนทบุรี บ่อยครั้งที่อาการกำเริบเกิดความเครียดจนนอนไม่หลับผู้ตายจึงตัดสินใจลาออกมาพักอยู่บ้านเฉยๆ
นางเพ็ญศรี กล่าวต่อว่า ปกติห้องนี้จะมีคนพักอาศัยอยู่รวม 5 คน คือตน สามี ผู้ตาย และลูกชายอีก 2 คน โดยก่อนเกิดเหตุทุกคนออกไปทำธุระนอกบ้านกันหมด ส่วนตนก็ออกไปซื้อกับข้าว มีแต่ผู้ตาย ที่นั่งดูทีวี อยู่ในห้องเพียงลำพัง ซึ่งตนสังเกตเห็นว่าวันนี้ผู้ตายมีอาการเหม่อลอยมากผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร กระทั่งกลับจากตลาดมาถึงห้องก็พบว่าผู้ตายขโมยปืนของพ่อซึ่งซุกอยู่ใต้เตียงออกมายิงตัวเองจนเสียชีวิตแล้ว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า นายนพสิทธิ์ ผู้ตายคงจะเกิดอาการเครียดจากโรคไวรัสซีกำเริบ จึงตัดสินใจขโมยปืนพ่อออกมายิงตัวเองดังกล่าว อย่างไรก็ตามจะต้องส่งมอบศพให้มูลนิธินำไปผ่าชันสูตรที่สถาบันนิติเวช ก่อนเรียกญาติพี่น้องและพยานแวดล้อมมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งจึงจะสามารถสรุปสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ต่อไป