ตร.ทางหลวงสั่ง 37 สถานีจัด “เซฟตี้โซน” ในระยะทางไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร เพื่อประกาศเป็นพื้นที่ปลอดภัย คุมเข้ม ตรวจจับความเร็ว-วัดแอลกอฮอล์ พร้อมบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เตือนประชาชนใช้รถใช้ถนนช่วงปีใหม่รักษากฎและสำนึกในการขับขี่เพื่อลดอุบัติเหตุ
วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ รอง ผบก.ทล. เปิดเผยการดำเนินการโครงการ พื้นที่ปลอดภัย หรือเซฟตี้โซน บนทางหลวง โดยให้ทุกสถานีตำรวจทางหลวง ทั้ง 37 แห่ง ที่ปกติจะรับผิดชอบพื้นที่ของตนเองประมาณ 600 ถึง 800 กิโลเมตร สำรวจพื้นที่รับผิดชอบซึ่งเป็นโซนที่มีสถิติอุบัติเหตุ คดีจราจรมากและบ่อยครั้ง และเส้นทางที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อันตราย เช่น เส้นทางสูงชัน เส้นทางคดเคี้ยว เส้นทางโค้งหักศอก เส้นทางเปลี่ยว เส้นทางที่มีสะพานแคบ แล้วรายงานมายังกองบังคับการตำรวจทางหลวงเพื่อประกาศเป็นพื้นที่ปลอดภัย ในระยะทางไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร ต่อ 1 สถานีตำรวจทางหลวง
พ.ต.อ.พินิต กล่าวต่อว่า เมื่อกำหนดเป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้วจะให้ ผู้กำกับการ จากทั้ง 8 กองกำกับการ ในสังกัดระดมเครื่องมือเพื่อดำเนินการ ซึ่งพื้นที่ปลอดภัย จะมีป้ายติดประกาศเพื่อให้ทราบว่า เข้าเขตพื้นที่ปลอดภัย สถานีตำรวจทางหลวงที่...ระยะทาง...กิโลเมตร โดยในพื้นที่เซฟตี้โซนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตรวจคุมเข้ม เช่น การตรวจจับความเร็ว การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้จะมีการตั้งจุดตรวจค้นยานพาหนะป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม โดยการบูรณาการร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าตำรวจและอาสาสมัคร ร่วมปฏิบัติในพื้นที่ดังกล่าว
“ในพื้นที่เซฟตี้โซนที่กำหนดไว้ หากพบผู้กระทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดและปรับในอัตราโทษสูงสุด จึงขอให้สังเกตป้ายที่ประกาศในเขตพื้นที่ปลอดภัย เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ค่อนข้างอันตราย และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ส่วนเส้นทางมอเตอร์เวย์ทุกสาย ตำรวจทางหลวงจะจัดให้เป็นเซฟตี้โซนตลอดสาย จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนที่ใช้เส้นทางจราจร ช่วยกันรักษากฎจราจร และใช้สำนึกในการขับขี่ยานพาหนะ เพื่อความปลอดภัยและยังเป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย” พ.ต.อ.พินิต กล่าว
รอง ผบก.ทล.กล่าวต่อว่า สำหรับเส้นทางทั่วไปที่เป็นเส้นทางหลักที่ไม่ได้เป็นเซฟตี้โซนจะมีรถสายตรวจทางหลวง ตำรวจพื้นที่ รวมทั้งอาสาสมัครประชาชนในพื้นที่คอยช่วยสอดส่องดูแลรักษาความปลอดภัยตามเส้นทางปกติ