“เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง
ต่างซื่อตรง พิทักษ์สันติราษฎร์นั้น ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน
ไม่เคยคำนึงถึงชีวัน เข้าประจันเหล่าร้ายเพื่อประชา…..”
นี่คือส่วนหนึ่งของเพลงมาร์ชตำรวจที่หลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้าง ที่นำเนื้อเพลงมาในวันนี้เพื่อจะฝากไปยังตำรวจให้ได้ระลึกถึงความหมายของเนื้อเพลง เนื่องจากวันนี้ 13 ต.ค. เป็น “วันตำรวจ” หลายท่านอาจบอกว่ารู้จักแล้ว แต่บางคนอาจลืมเลือนหรือเพียงรู้จักแต่เนื้อหาไม่ได้นำไปปฏิบัติ
เหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา จะยังคงฝังใจในคนไทยถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ แม้ว่าตำรวจจะพยายามออกมาชี้แจงเพื่อให้หลุดพ้นจากข้อครหาของสังคม แต่เหมือนว่ายิ่งออกมาพูดก็ยิ่งพบหลักฐานใหม่ๆ ที่ชี้ชัดถึงเจตนาในการใช้ความรุนแรงกับประชาชน
วันนี้ประชาชนต่างมีความรู้สึกคับแค้นใจเมื่อเห็นภาพผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากเหตุดังกล่าว แม้จะปฏิเสธอย่างไรแต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นความจริงกับตา ผู้คนต่างตั้งคำถามว่าคราบเลือดและน้ำตาของประชาชนใครจะรับผิดชอบ จริงอยู่ที่ตำรวจเองก็บาดเจ็บจำนวนมาก แต่ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ รู้สถานการณ์ก่อนเพราะเป็นฝ่ายเปิดฉากปะทะ รวมทั้งมีเครื่องป้องกันและอาวุธครบมือ ผู้ชุมนุมมีเพียงขวดน้ำ หน้ากาก และผ้าไว้ป้องกันแก๊สน้ำตา ไม่รู้ว่าตำรวจจะพยายามนำเสนอตรงนี้เพื่ออะไร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจดีๆ ที่เสียสละมากกว่านี้ในการปราบโจรผู้ร้ายยังไม่เคยถูกนำมาเสนอเท่านี้
งานวันตำรวจที่จัดขึ้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปีนี้ก็ต้องจัดเหลือเพียงการทำบุญให้ผู้สูญเสีย และพิธีสวนสนามที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่มีการสวนสนาม ขบวนเกรียติยศเหมือน เช่นทุกปี รวมไปถึงตำรวจหลายส่วนที่ได้รับผลกระทบจากกระแสสังคมในทางลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะตำรวจเองก็มีบาดแผลในองค์จำนวนมากอยู่แล้วที่ประชาชนต่างเห็นในด้านลบ
อยากบอกว่าเกียรติของตำรวจนั้นไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องไปหาที่อื่นไกล เกียรติของตำรวจก็อยู่ในเพลงตำรวจนั่นแหละ คือการรับใช้ประชาชน การรับใช้ประชาชนไม่ใช่งานต่ำต้อยเพราะเป็นงานที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุข แต่การเอาเกียรติไปแลกยศ ตำแหน่งโดยรับใช้นักการเมืองนั้นแหละที่ต่ำต้อยเพราะเป็นการทำให้บ้านเมืองเสียหาย
สุดท้ายขออัญเชิญ พระราโชวาทสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่อ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งและสามารถนำไปปฏิบัติใช้กับชีวิตได้ทันที ใจความว่า “คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนที่ไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยานอย่างบ้า ๆ แต่พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม” จากหนังสือ ดั่งสายธาร ศรีนครินทร์แห่งแผ่นดิน หน้า 88 แด่ตำรวจตระเวนชายแดนที่เคยติดตามพระองค์ท่าน แต่วันนี้กลับถือปืนเล็งประชาชน...
ต่างซื่อตรง พิทักษ์สันติราษฎร์นั้น ถึงตัวจะตายก็ช่างมัน
ไม่เคยคำนึงถึงชีวัน เข้าประจันเหล่าร้ายเพื่อประชา…..”
นี่คือส่วนหนึ่งของเพลงมาร์ชตำรวจที่หลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้าง ที่นำเนื้อเพลงมาในวันนี้เพื่อจะฝากไปยังตำรวจให้ได้ระลึกถึงความหมายของเนื้อเพลง เนื่องจากวันนี้ 13 ต.ค. เป็น “วันตำรวจ” หลายท่านอาจบอกว่ารู้จักแล้ว แต่บางคนอาจลืมเลือนหรือเพียงรู้จักแต่เนื้อหาไม่ได้นำไปปฏิบัติ
เหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา จะยังคงฝังใจในคนไทยถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ แม้ว่าตำรวจจะพยายามออกมาชี้แจงเพื่อให้หลุดพ้นจากข้อครหาของสังคม แต่เหมือนว่ายิ่งออกมาพูดก็ยิ่งพบหลักฐานใหม่ๆ ที่ชี้ชัดถึงเจตนาในการใช้ความรุนแรงกับประชาชน
วันนี้ประชาชนต่างมีความรู้สึกคับแค้นใจเมื่อเห็นภาพผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากเหตุดังกล่าว แม้จะปฏิเสธอย่างไรแต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นความจริงกับตา ผู้คนต่างตั้งคำถามว่าคราบเลือดและน้ำตาของประชาชนใครจะรับผิดชอบ จริงอยู่ที่ตำรวจเองก็บาดเจ็บจำนวนมาก แต่ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ รู้สถานการณ์ก่อนเพราะเป็นฝ่ายเปิดฉากปะทะ รวมทั้งมีเครื่องป้องกันและอาวุธครบมือ ผู้ชุมนุมมีเพียงขวดน้ำ หน้ากาก และผ้าไว้ป้องกันแก๊สน้ำตา ไม่รู้ว่าตำรวจจะพยายามนำเสนอตรงนี้เพื่ออะไร เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจดีๆ ที่เสียสละมากกว่านี้ในการปราบโจรผู้ร้ายยังไม่เคยถูกนำมาเสนอเท่านี้
งานวันตำรวจที่จัดขึ้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปีนี้ก็ต้องจัดเหลือเพียงการทำบุญให้ผู้สูญเสีย และพิธีสวนสนามที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่มีการสวนสนาม ขบวนเกรียติยศเหมือน เช่นทุกปี รวมไปถึงตำรวจหลายส่วนที่ได้รับผลกระทบจากกระแสสังคมในทางลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะตำรวจเองก็มีบาดแผลในองค์จำนวนมากอยู่แล้วที่ประชาชนต่างเห็นในด้านลบ
อยากบอกว่าเกียรติของตำรวจนั้นไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องไปหาที่อื่นไกล เกียรติของตำรวจก็อยู่ในเพลงตำรวจนั่นแหละ คือการรับใช้ประชาชน การรับใช้ประชาชนไม่ใช่งานต่ำต้อยเพราะเป็นงานที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุข แต่การเอาเกียรติไปแลกยศ ตำแหน่งโดยรับใช้นักการเมืองนั้นแหละที่ต่ำต้อยเพราะเป็นการทำให้บ้านเมืองเสียหาย
สุดท้ายขออัญเชิญ พระราโชวาทสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่อ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งและสามารถนำไปปฏิบัติใช้กับชีวิตได้ทันที ใจความว่า “คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนที่ไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยานอย่างบ้า ๆ แต่พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม” จากหนังสือ ดั่งสายธาร ศรีนครินทร์แห่งแผ่นดิน หน้า 88 แด่ตำรวจตระเวนชายแดนที่เคยติดตามพระองค์ท่าน แต่วันนี้กลับถือปืนเล็งประชาชน...
