ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิต “มูฮัมหมัด อารีฟ” แขกปากีฯ แชตลวงฆ่าหั่นศพครูดิสนีย์ชาวอุบลราชธานี
วันนี้ (19 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 912 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมูฮัมหมัด อารีฟ อายุ 36 ปี ชาวปากีสถาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานต่างประเทศภาคพื้นเอเชียของบริษัท เวิลด์ เฟมัสโอซี จำกัด เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน โดยกระทำทารุณโหดร้ายและซ่อนเร้นทำลายศพ และชิงทรัพย์ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 199, 289, 339 ซึ่งนายเปรมมินทร์ ทองนาคแท้ บิดาผู้ตาย ได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 5.3 ล้านบาทด้วย
ตามฟ้องโจทก์วันที่ 31 ก.ค.49 สรุปว่า เมื่อประมาณเดือน เม.ย.-พ.ค.49 จำเลยได้ติดต่อ (แชต) ผ่านทางอินเทอร์เน็ต โปรแกรมเอ็มเอสเอ็น โดยใช้ชื่อว่า เคน เป็นหนุ่มลูกครึ่งสัญชาติสเปน ติดต่อ น.ส.ดิสนีย์ หรือปิยานันท์ หรือโอ๋ ทองนาคแท้ อายุ 28 ปี ผู้ตาย ชาว จ.อุบลราชธานี ครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนเทศบาล 1 บ้านโพธิ์กลาง อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี พร้อมกับนำรูปผู้ชายหน้าตาดีมาใส่แทนรูปหน้าของตนเองในโปรแกรมดังกล่าว ทำให้ผู้ตายหลงเชื่อว่าจำเลยมีหน้าตาดี จนกระทั่งจำเลยได้ชักชวนผู้ตายให้เดินทางมาพบกันที่โรงแรมราชาพาเลซ ถ.รัชดาภิเษก 14 กทม.เมื่อวันที่ 8 พ.ค.49 แล้วลงมือฆ่าผู้ตาย ใช้มีดเชือดศพใส่กระเป๋าเดินทางนำไปทิ้งคลองน้ำแก้ว และที่ถนนรามคำแหง 24 ตัดใหม่ ซึ่งภายหลัง นายบุญยืน ศรีประสงค์ ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ โทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลที่ได้พาจำเลยไปส่งยังที่เกิดเหตุ ต่อมาจึงติดตามจับกุมจำเลยได้ที่โรงแรม และจำเลยได้พาไปที่ห้องพักเลขที่ 1014 พบปืนพลาสติก 1 อัน มีด 3 เล่ม เชือก 1 เส้น ผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือด และกางเกงขายาวของจำเลยเปื้อนเลือดรวมทั้งกล้องดิจิตอลและแหวนทองคำของผู้ตายจึงยึดไว้เป็นหลักฐาน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เหตุเกิดที่แขวงและเขตห้วยขวาง กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 มี.ค.50 ว่าจำเลยกระทำผิดตาม ฟ้อง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ฐานฆ่าผู้อื่นฯ ให้ประหารชีวิต, ฐานชิงทรัพย์ จำคุก 2 ปี, ฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปกปิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและฐานซ่อนเร้น ทำลายศพฯ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ฐานฆ่าผู้อื่นให้จำคุกตลอดชีวิต, ฐานซ่อนเร้น ทำลายศพฯ จำคุก 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตสถานเดียว และริบอาวุธมีด 3 เล่ม กระเป๋าเสื้อผ้า 4 ใบ และผ้าควั่นเป็นเชือก 1 เส้น ของกลาง และให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,185,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ก.ค.49 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บิดาผู้ตายและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 30,000 บาท แก่บิดาผู้ตาย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงสถานเบาเหลือจำคุก 25 ปี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมหารือแล้วเห็นว่า โจทก์มี พ.ต.ท.สมภพ บุญผลงาม พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก เบิกความ เป็นผู้รับแจ้งเหตุเมื่อคืนวันที่ 8 พ.ค.49 ว่า มีผู้พบชิ้นส่วนศพ ที่ถนนรามคำแหง 24 ตัดใหม่ เมื่อเดินทางไปถึงพบนายศักดิ์ชัย ศรีประเสริฐ ที่โทรศัพท์แจ้งว่าเห็นชายที่มีลักษณะเป็นแขกนำกระเป๋าเดินทางที่ใส่ชิ้นศพมาทิ้งไว้ พยานจึงโทร.แจ้งสถานีวิทยุ จส.100 บอกลักษณะคนร้ายเพื่อหาเบาะแส ขณะเดียวกัน โจทก์มีนายบุญยืน ศรีประสงค์ ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ เบิกความว่า วันที่ 8 พ.ค.49 เวลาประมาณ 15.00 น. พยานได้รับ จำเลย จาก รร.ราชาพาเลซ รัชดาฯ 14 ไปส่งที่ ถ.รามคำแหง 24 จำเลยยกกระเป๋าเดินทางใส่กระโปรงหลังรถ และลักษณะจำเลยที่หิ้วกระเป๋าเหมือนเป็นของหนัก และเมื่อจำเลยเข้ามานั่งในรถที่เบาะด้านหน้าเห็นมือจำเลยมีลักษณะบวม จึงส่งยาให้ทา หลังจากส่งจำเลยแล้ว เมื่อได้ฟัง จส.100 เห็นว่าลักษณะคนร้ายนั้นเหมือนกับจำเลย จึงโทรแจ้งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก และพาไปที่ รร.ราชาพาเลซ ซึ่งเมื่อไปถึงหน้าโรงแรมเห็นจำเลย จดจำใบหน้าได้อย่างแม่นยำ จึงชี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุม นอกจากนี้นายเปรมมินทร์ บิดาผู้ตาย ยังเบิกความว่า เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งให้ไปดูชิ้นส่วนศพ ยืนยันว่าเป็นบุตรสาว อีกทั้งเมื่อพนักงานสอบสวน เข้าตรวจค้นห้องพักจำเลยที่โรงแรมพบเสื้อผ้า ทรัพย์สินผู้ตาย กางเกงยีนส์ของจำเลยเปื้อนเลือด ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน จึงเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายจริงโดยใช้หมอนกดใบหน้าและใช้ผ้าคาดเอวควั่นเป็นเชือกรัดคอแล้วหั่นศพผู้ตาย โดยนำชิ้นส่วนไปทิ้งที่คลองน้ำแก้ว และนำกระเป๋าใส่ชิ้นส่วนศพที่เหลือไปทิ้งที่ ถ.รามคำแหง 24 และจำเลยเป็นผู้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ขณะที่ผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ของนิติเวชยืนยันว่าชิ้นส่วนศพเป็นบุคคลคนเดียวกัน
ที่จำเลยอุทธรณ์ฆ่าผู้ตายเพราะบันดาลโทสะที่ผู้ตายด่าทอศาสดาของศาสนาจำเลย ซึ่งเกิดการทะเลาะกันรุนแรงนั้น ศาลเห็นว่าแม่บ้านทำความสะอาดของ รร.ราชาพาเลซ 2 คน เบิกความว่า ขณะทำความสะอาดห้องพักชั้นเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงดังผิดปกติ ดังนั้น เชื่อว่าการเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายมาจากความโกรธ ไม่พอใจที่ผู้ตายทวงถามเรื่องตั๋วเครื่องบิน และให้จำเลยพาไปเที่ยวพัทยาตามที่จำเลยเคยให้สัญญาไว้ อุทธรณ์จำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาว่าจำเลยนำทรัพย์ผู้ตายไปหรือไม่ โจทก์มีบิดาผู้ตาย เบิกความว่าผู้ตายมีทรัพย์สินที่ติดตัวมาจาก จ.อุบลราชธานี 4 รายการ คือ กล้องดิจิตอล, สร้อยคอทองคำ, จี้ม้าทองคำ และแหวนทองคำรูปดอกไม้ ขณะที่การตรวจห้องพักจำเลยพบว่ากล้องดิจิตอล และแหวนทองคำอยู่ที่ใต้เตียง ส่วนอีกทรัพย์สินอีก 2 รายการสูญหายไปนั้น ตามคำเบิกความของจำเลยระบุว่า หลังจากที่ผู้ตายเดินทางมาจาก จ.อุบลราชธานี พักอยู่กับจำเลยตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยน่าจะเป็นไปแยกนำทรัพย์สินของผู้ตายไป
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาเหลือจำคุก 25 ปี นั้น ศาลเห็นว่า เมื่อเหตุที่จำเลยกระทำการ เนื่องจากไม่พอใจที่ผู้ตายทวงสัญญาเรื่องตั๋วเครื่องบินและให้จำเลยพาไปเที่ยวพัทยา ซึ่งเป็นเรื่องผิดสัญญา แต่จำเลยกลับลงมือฆ่าผู้ตายโดยใช้หมอนกดใบหน้า และผ้าคาดเอวรัดคอ แล้วหั่นศพเพื่อปกปิดความผิด เป็นเรื่องที่สร้างความโศกเศร้าให้กับญาติผู้ตาย และยังเป็นการกระทำที่สร้างความสยดสยอง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยนั้นเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขโทษ พิพากษายืน