“อัศวิน” สั่ง ตร.ท้องที่ตรวจเข้มร้านสะดวก เพิ่มกำลังสายตรวจ-ตรวจตราถี่ขึ้น ป้องกันเหตุโจรปล้นร้านสะดวกซื้อ หลังมีข่าวถูกจี้บ่อยขึ้น ตัดพ้อร้านสะดวกซื้อมีมากเกิน กำลัง ตร.ไม่เพียงพอดูแล
วันนี้ (6 ส.ค.) พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.กล่าวถึงกรณีคนร้ายสวมหมวกกันน็อกควงมีดปืนบุกชิงทรัพย์ร้านเซเว่น สาขาสาธุประดิษฐ์ 49 กลางดึก ฉกเงินสด 1,800 บาท กับบัตรเติมเงินมือถือก่อนขึ้น จยย.ซิ่งหนี ตำรวจ ว่า กรณีนี้ ตร.ก็พยายามวางมาตรการป้องกันมาโดยตลอด ส่วนกรณีเมื่อคืนแม้ทางร้านจะมีกล้องวงจรปิด แต่คนร้ายใส่หมวกปิดหน้าทำให้สังเกตหน้าคนร้ายไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในการติดตามตัวคนร้ายได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น.ไปดูแลอย่างใกล้ชิด
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการในการดูแลร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้สั่งการให้ ตร.ท้องที่กวดขัน เพิ่มความเข้มในการดูแล ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มกำลังสายตรวจและความถี่ในการตรวจตรา นอกจากนี้ ก็จะจัดชุดสุมโป่ง ซึ่งระยะหลังจะเห็นได้ว่าจะสามารถจับกุมคนร้ายได้ทันควัน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีอุปสรรคในการดูแลร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากร้านสะดวกซื้อในกทม.มีจำนวนมากเกินกว่าที่กำลัง ตร.จะดูแลได้อย่างทั่วถึง ขณะเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจที่บีบคั้นทำให้คนขาดความยั้งคิด อาจจะก่อเหตุแบบนี้ได้ โดย ตร.จะต้องพยายามวางมาตรการป้องกันต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.กฤษณ์ แจ้งแสง สว.สส.สน.บางโพงพาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้เดิน ทางไปที่ร้านเซเว่นฯสาขาที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดอย่างละเอียดอีกครั้ง โดย พ.ต.ท.กฤษณ์ กล่าวว่า ขณะนี้สอบปากคำพยานไปแล้ว จำนวน 4 ปาก ซึ่งเป็นพนักงานของร้านเซเว่นที่ปฏิบัติงานอยู่ขณะที่เกิดเหตุ เบื้องต้นจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านเซเว่นฯก็สามารถจับภาพคนร้ายขณะเดินเข้าไปในร้านและขณะที่ก่อเหตุเอาไว้ได้ เป็นชายรูปร่างสันทัด อายุประมาณ 30 ปี สูง 170 ซม. ผิวดำแดง สวมเสื้อโปโลคอปกสีฟ้า กางเกงยีน สวมรองเท้าแตะ และถุงมือสีดำ ซึ่งคนร้ายได้สวมหมวกกันน๊อคสีดำแบบเต็มใบเข้าไปก่อเหตุในร้านด้วย ทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนร้ายได้
พ.ต.ท.กฤษณ์ กล่าวต่อว่า คนร้ายเข้าไปในร้านก่อนจะเดินอ้อมไปที่ด้านหลังเคาน์เตอร์และใช้อาวุธมีดข่มขู่พนักงาน แต่เนื่องจากลิ้นชักที่เก็บเงินไม่สามารถเปิดได้ทำให้คนร้ายหยิบถุงเศษสตางค์ไปจำนวน 2 ถุง ยอดเงินรวม 1,800 บาท และบัตรเติมเงินโทรศัพท์เครือข่ายดีแทค เอไอเอส และทรู ไปจำนวนหนึ่ง มูลค่ารวมประมาณ 8,000 บาท ก่อนจะวิ่งออกจากร้านหลบหนีไปโดยใช้เวลาก่อเหตุเพียง 3 นาที แต่ติดตรงที่ว่าพยานไม่ทราบยี่ห้อและรุ่นของ จยย.ที่คนร้ายใช้ขับหลบหนี ซึ่งข้อมูลตรงส่วนนี้คงต้องขอเวลาตรวจสอบอีกสักระยะ ส่วนภาพที่สามารถบันทึกได้จากกล้องวงจรปิด ตนจะนำไปให้พนักงานสอบสวนขออนุมัติศาลออกหมายจับคนร้ายในข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธต่อไป