“ธนา ตันศิริ” ญาติหญิงอ้อ เล่นกลหลบหนีสื่อ แจ้งตำรวจขอเข้าคุกก่อนกำหนดออกจากโรงพยาบาล 1 วัน โดยไม่มีสื่อสำนักไหนได้เห็นโฉมหน้าทนายชั่วที่แท้จริง
วันนี้ (30 มิ.ย.) นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 1-2 คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ ภายหลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุก ที่ร่วมกันนำถุงขนมใส่เงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ธุรการศาลฎีกา ซึ่งเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมในบริเวณศาล เป็นเวลาคนละ 6 เดือน โดยศาลพิพากษาไปเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้นว่า ขณะนี้สภาพจิตใจของนายพิชิฏดีขึ้นแล้ว ทำใจได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยอมรับว่ามีความเครียดอยู่บ้าง แต่เนื่องจากมีญาติเข้ามาเยี่ยมเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง โดยทางญาติเองก็ได้ช่วยกันปลอบใจนายพิชิฏ ควบคู่ไปกับทางเจ้าหน้าที่ให้การดูแลทางด้านสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด สำหรับเรื่องอาหารการกินของนายพิชิฏนั้น นายพิชิฏยังไม่ได้รับประทานอาหารของเรือนจำเลย โดยรับประทานอาหารจากทางญาติที่นำมาให้ทั้งสิ้น
นายวันชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี ญาติคุณหญิงพจมาน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลฎีกาที่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และจะครบกำหนด 7 วันตามใบรับรองแพทย์ที่ได้ยื่นขอพักรักษาตัวต่อศาลฎีกา ในวันพรุ่งนี้ (1 ก.ค.) ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพก็ได้ส่งรถไปรอรับ เบื้องต้นนายธนาก็ต้องมาอยู่ในแดนแรกรับเหมือนกับนายพิชิฏ ก่อนตรวจประวัติและดูสภาพจิตใจของผู้ต้องขังก่อนว่าจะแยกไปไว้ในแดนใด และต้องตัดผมตามระเบียบของทางเรือนจำ
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ สน.ลุมพินี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ไปควบคุมตัวนายธนา ตันศิริ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลฎีกาที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยได้นำตัวนายธนาไปที่ศาลฎีกาก่อนที่จะควบคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
โดยการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จำนวนกว่า 10 คน ควบคุมตัวนายธนา มาที่ศาลฎีกา โดยศาลได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้เพิกถอนหมายจับและออกหมายขังแทน โดยให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีนำเงิน 2 ล้านบาท มามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งนี้ ศาลได้นั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งโดยใช้เวลานานถึง 1 ชั่วโมง จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวนายธนา ขึ้นรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หมายเลขทะเบีย อห 2001 กรุงเทพมหานคร ออกไปทันที ซึ่งนายธนา ถูกเจ้าหน้าที่คล้องกุญแจมือ ใส่หมวกแก๊ป แว่นตาดำ ผ้าปิดปาก เพื่ออำพราง
อย่างไรก็ตาม การนำตัวนายธนาส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งก่อนครบกำหนด 1 วัน ตามที่นายธนาแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะออกจากโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้นั้น มีรายงานจากชุดสืบสวนว่าเป็นความประสงค์ของนายธนาที่ต้องการหลบเลี่ยงการทำข่าวของสื่อ และไม่ต้องการให้มีการบันทึกภาพ โดยแจ้งว่าพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลและขอให้นำตัวไปส่งศาลในวันนี้ ตำรวจจึงควบคุมตัวไปส่งเรือนจำดังกล่าว โดยขณะที่นายธนาเดินออกจากห้องมีรายงานว่ามีสีหน้าซีด ปากซีด โดยนำหมวกแก๊ปคลุมใบหน้าอยู่ตลอดเวลาของการควบคุมตัว โดยมีญาติขับรถตามไปตลอดทาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การนำตัวนายธนาไปส่งศาลและพาเข้าคุมขังในเรือนจำในครั้งนี้ ปรากฏว่าไม่มีสื่อสำนักไหนสามารถบันทึกภาพนายธนาไว้ได้ ประกอบกับช่วงเช้าจากการโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลนายธนาก็แจ้งว่าจะนำนายธนาเข้าไปคุมขังในวันพรุ่งนี้ ทำให้สื่อต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำรวจให้ความร่วมมือกับนายธนาในการปิดข่าวครั้งนี้
วันนี้ (30 มิ.ย.) นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 1-2 คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ ภายหลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุก ที่ร่วมกันนำถุงขนมใส่เงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ธุรการศาลฎีกา ซึ่งเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมในบริเวณศาล เป็นเวลาคนละ 6 เดือน โดยศาลพิพากษาไปเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้นว่า ขณะนี้สภาพจิตใจของนายพิชิฏดีขึ้นแล้ว ทำใจได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็ยอมรับว่ามีความเครียดอยู่บ้าง แต่เนื่องจากมีญาติเข้ามาเยี่ยมเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง โดยทางญาติเองก็ได้ช่วยกันปลอบใจนายพิชิฏ ควบคู่ไปกับทางเจ้าหน้าที่ให้การดูแลทางด้านสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด สำหรับเรื่องอาหารการกินของนายพิชิฏนั้น นายพิชิฏยังไม่ได้รับประทานอาหารของเรือนจำเลย โดยรับประทานอาหารจากทางญาติที่นำมาให้ทั้งสิ้น
นายวันชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี ญาติคุณหญิงพจมาน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลฎีกาที่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และจะครบกำหนด 7 วันตามใบรับรองแพทย์ที่ได้ยื่นขอพักรักษาตัวต่อศาลฎีกา ในวันพรุ่งนี้ (1 ก.ค.) ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพก็ได้ส่งรถไปรอรับ เบื้องต้นนายธนาก็ต้องมาอยู่ในแดนแรกรับเหมือนกับนายพิชิฏ ก่อนตรวจประวัติและดูสภาพจิตใจของผู้ต้องขังก่อนว่าจะแยกไปไว้ในแดนใด และต้องตัดผมตามระเบียบของทางเรือนจำ
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ สน.ลุมพินี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ไปควบคุมตัวนายธนา ตันศิริ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลฎีกาที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยได้นำตัวนายธนาไปที่ศาลฎีกาก่อนที่จะควบคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
โดยการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จำนวนกว่า 10 คน ควบคุมตัวนายธนา มาที่ศาลฎีกา โดยศาลได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้เพิกถอนหมายจับและออกหมายขังแทน โดยให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีนำเงิน 2 ล้านบาท มามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งนี้ ศาลได้นั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งโดยใช้เวลานานถึง 1 ชั่วโมง จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวนายธนา ขึ้นรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หมายเลขทะเบีย อห 2001 กรุงเทพมหานคร ออกไปทันที ซึ่งนายธนา ถูกเจ้าหน้าที่คล้องกุญแจมือ ใส่หมวกแก๊ป แว่นตาดำ ผ้าปิดปาก เพื่ออำพราง
อย่างไรก็ตาม การนำตัวนายธนาส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งก่อนครบกำหนด 1 วัน ตามที่นายธนาแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะออกจากโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้นั้น มีรายงานจากชุดสืบสวนว่าเป็นความประสงค์ของนายธนาที่ต้องการหลบเลี่ยงการทำข่าวของสื่อ และไม่ต้องการให้มีการบันทึกภาพ โดยแจ้งว่าพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลและขอให้นำตัวไปส่งศาลในวันนี้ ตำรวจจึงควบคุมตัวไปส่งเรือนจำดังกล่าว โดยขณะที่นายธนาเดินออกจากห้องมีรายงานว่ามีสีหน้าซีด ปากซีด โดยนำหมวกแก๊ปคลุมใบหน้าอยู่ตลอดเวลาของการควบคุมตัว โดยมีญาติขับรถตามไปตลอดทาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การนำตัวนายธนาไปส่งศาลและพาเข้าคุมขังในเรือนจำในครั้งนี้ ปรากฏว่าไม่มีสื่อสำนักไหนสามารถบันทึกภาพนายธนาไว้ได้ ประกอบกับช่วงเช้าจากการโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลนายธนาก็แจ้งว่าจะนำนายธนาเข้าไปคุมขังในวันพรุ่งนี้ ทำให้สื่อต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำรวจให้ความร่วมมือกับนายธนาในการปิดข่าวครั้งนี้
