ทนาย “มานพ พลจันทร์” ถูกยิงด้วยปืน .38 ดับคาสำนักงาน สภาพนอนหงายจมกองเลือด กระสุน 7 นัดพุ่งเข้าทะลุอกซ้าย และพรุนทั่วร่าง ขณะผู้เห็นเหตุการณ์ บอกคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถ จยย.สีดำไม่ทราบทะเบียน คนซ้อนท้ายสวมหมวกแก็ปปิดบังใบหน้า ชักปืนลั่นไกกระหน่ำยิงจนเสียชีวิต เบื้องต้นพบเอกสารการฟ้องร้องที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ระหว่างผู้ตายกับแม่ของตัวเองภายใน สนง. ด้าน ตร.เตรียมเรียกญาติสอบปากคำหาสาเหตุต่อไป
วันนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา 07.30 น. พ.ต.ท.ปรีชา วงศ์รวิวรรณ พนักงานสอบสวน (สบ.2) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งมีชายถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 100/41 ซอยโกสุมนิเวศน์ 1 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อม พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.น.2 พ.ต.อ.สุรศักดิ์ ศานุจารย์ รอง ผบก.น.2 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเปิดเป็นสำนักงานทนายความ บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบศพนายมานพ พลจันทร์ อายุ 52 ปี ทนายความเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว สภาพศพนอนหงายจมกองเลือด สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ตรวจสอบตามร่างกายมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 7 นัด ประกอบด้วยหน้าอกด้านซ้าย เอวข้างขวา เอวข้างซ้าย หน้าท้อง ท้องน้อย สะโพกข้างขวา และก้นกบ นอกจากนี้ยังพบปลอกกระสุนขนาดเดียวกันตกอยู่จำนวน 1 นัด และหัวกระสุนขนาดเดียวกัน จำนวน 1 หัว จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนนายเกษมสุวรรณ หอมหวล อายุ 48 ปี คนขับรถของผู้ตายให้การว่า ปกติผู้ตายจะชอบไปทำบุญทุกเช้าวันเสาร์ อาทิตย์ โดยก่อนเกิดเหตุวันนี้ผู้ตายกำลังเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน ส่วนตนกำลังเข้าห้องน้ำอยู่เพื่อจะออกมาขับรถส่งผู้ตายไปทำบุญที่วัด ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดจึงรีบวิ่งออกมาดูก็พบว่า ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตแล้ว
ทางด้าน พยานที่เห็นเหตุการณ์รายหนึ่ง ให้การว่า ช่วงเกิดเหตุเห็นคนร้ายเป็นชายสองคนขับขี่รถจยย.สีดำ ไม่ทราบยี่ห้อ รุ่นและหมายเลขทะเบียนเข้ามาที่บริเวณหน้าบ้าน โดยคนขับสวมเสื้อยืดสีดำ สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ส่วนคนซ้อนท้ายสวมเสื้อยืดสีดำ สวมหมวกแก็ปปิดบังใบหน้า จากนั้นคนซ้อนท้ายชักอาวุธปืนขึ้นมากระหน่ำยิงผู้ตายจนเสียชีวิตดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบภายในสำนักงานทนายความของผู้ตายพบเอกสารเรื่องการฟ้องร้องที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ระหว่างตัวผู้ตายกับแม่ของตัวเอง และญาติ จำนวนหลายคดีด้วยกัน ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่เรียกญาติผู้ตายมาสอบปากคำเพื่อหาสาเหตุการสังหารโหดครั้งนี้ต่อไป
วันนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา 07.30 น. พ.ต.ท.ปรีชา วงศ์รวิวรรณ พนักงานสอบสวน (สบ.2) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งมีชายถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 100/41 ซอยโกสุมนิเวศน์ 1 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อม พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.น.2 พ.ต.อ.สุรศักดิ์ ศานุจารย์ รอง ผบก.น.2 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเปิดเป็นสำนักงานทนายความ บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบศพนายมานพ พลจันทร์ อายุ 52 ปี ทนายความเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว สภาพศพนอนหงายจมกองเลือด สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ตรวจสอบตามร่างกายมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 7 นัด ประกอบด้วยหน้าอกด้านซ้าย เอวข้างขวา เอวข้างซ้าย หน้าท้อง ท้องน้อย สะโพกข้างขวา และก้นกบ นอกจากนี้ยังพบปลอกกระสุนขนาดเดียวกันตกอยู่จำนวน 1 นัด และหัวกระสุนขนาดเดียวกัน จำนวน 1 หัว จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนนายเกษมสุวรรณ หอมหวล อายุ 48 ปี คนขับรถของผู้ตายให้การว่า ปกติผู้ตายจะชอบไปทำบุญทุกเช้าวันเสาร์ อาทิตย์ โดยก่อนเกิดเหตุวันนี้ผู้ตายกำลังเดินเล่นอยู่หน้าบ้าน ส่วนตนกำลังเข้าห้องน้ำอยู่เพื่อจะออกมาขับรถส่งผู้ตายไปทำบุญที่วัด ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดจึงรีบวิ่งออกมาดูก็พบว่า ผู้ตายถูกยิงเสียชีวิตแล้ว
ทางด้าน พยานที่เห็นเหตุการณ์รายหนึ่ง ให้การว่า ช่วงเกิดเหตุเห็นคนร้ายเป็นชายสองคนขับขี่รถจยย.สีดำ ไม่ทราบยี่ห้อ รุ่นและหมายเลขทะเบียนเข้ามาที่บริเวณหน้าบ้าน โดยคนขับสวมเสื้อยืดสีดำ สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ส่วนคนซ้อนท้ายสวมเสื้อยืดสีดำ สวมหมวกแก็ปปิดบังใบหน้า จากนั้นคนซ้อนท้ายชักอาวุธปืนขึ้นมากระหน่ำยิงผู้ตายจนเสียชีวิตดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบภายในสำนักงานทนายความของผู้ตายพบเอกสารเรื่องการฟ้องร้องที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ระหว่างตัวผู้ตายกับแม่ของตัวเอง และญาติ จำนวนหลายคดีด้วยกัน ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่เรียกญาติผู้ตายมาสอบปากคำเพื่อหาสาเหตุการสังหารโหดครั้งนี้ต่อไป