ตำรวจยุค “พัชรวาท-อัศวิน” ไม่สนใจจับกุมม็อบถ่อยบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ทำให้พันธมิตรฯ ต้องป้องกันตัวเอง ขณะที่นายตำรวจระดับสูงเครียดหลังลือฝ่ายการเมือง “เฉลิม” สั่งสกัดกั้นหรือสลายการชุมนุม โดยย้ำห้ามปล่อยไปทำเนียบเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่าบริเวณด้านท้ายขบวนของผู้ชุมนุมได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต่อต้านพันธมิตร ทำการขว้างปาก้อนหิน และของแข็งเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บหลายราย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าในบริเวณดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ แต่ปรากฏว่าตำรวจไม่เข้าจับกุมผู้ก่อเหตุ หรือมีการห้ามปรามแต่อย่างใด โดยปล่อยให้กลุ่มผู้ก่อกวนปาก้อนหินใส่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องคอยป้องกันตนเองอยู่ตลอดเวลา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.50 น.หลังจากที่กลุ่มคัดค้านได้ตามราวีท้ายขบวนพันธมิตรฯ มาตลอดตั้งแต่เคลื่อนขบวนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการชุลมุนและปะทะกันตั้งแต่หน้ากระทรวงคมนาคม ถึงสี่แยก จปร.นั้น ทางตำรวจได้สั่งให้ยิงแก๊สน้ำตาใส่ทั้ง 2 กลุ่ม เพื่อสลายการปะทะกันประมาณ 4-5 นัด จนกระทั่งตำรวจจำนวนหนึ่งได้เข้าควบคุมสถานการณ์ และฝ่ายต่อต้านได้ถูกผลักดันจนถอยร่นไปปักหลักอยู่บริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีกำลังตำรวจควบคุมสถานการณ์อยู่กลางสี่แยก จปร.
อย่างไรก็ดี การปะทะดังกล่าวส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บราว 4-5 คนทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับความเคลื่อนไหวของนายตำรวจระดับสูง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รักษาการ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.และนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมที่ศูนย์อำนวยการเพื่อประเมินสถานการณ์ การชุมนุม โดยมีรายงานว่าแผนเดิมของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ต้องการสกัดกั้นการชุมนุม และจะยอมให้เคลื่อนขบวน โดยจะให้มีการสลายการชุมนุมในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ปรากฏว่าทางฝ่ายการเมืองได้สั่งกำชับให้มีการสกัดกั้นไว้ โดยย้ำว่าห้ามให้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยเด็ดขาดทำให้ตำรวจต้องเปลี่ยนแผนใหม่
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระดับสูงเปิดเผยว่า บุคคลที่สั่งการมายังตำรวจคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำให้ตำรวจหนักใจในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจาก หากทำตามความตั้งใจของฝ่ายการเมือง หากจะทำให้ประชาชนไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้