ชายเร่ร่อน ตกใจโดนสายตรวจเรียก กลัวโดนจับจนเกิดอาการคลุ้มคลั่งควงมีดบุกจี้คอคนป่วยอัมพาตเป็นตัวประกัน ตำรวจเจรจากว่า 2 ชั่วโมงไม่ได้ผล ต้องนิมนต์พระจากวัดชนะสงครามมากล่อมจึงยอมปล่อยตัวประกันในที่สุด
วันนี้ ( 14 มี.ค.) เมื่อเวลา 23.45 น. ร.ต.ต.ภานุวัฒน์ จันทสรี ร้อยเวร สน.ชนะสงคราม รับแจ้งมีเหตุชายเร่ร่อนคลุ้มคลั่ง จี้ตัวประกัน ภายในร้านชุดวิวาห์ฤทัยรัตน์ เลขที่ 13 ถ.ตะนาว แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ด้านหน้าเปิดเป็นร้านให้เช่าชุดวิวาห์ ด้านหลังเป็นโรงน้ำแข็ง ภายในชั้น 1 ของร้าน พบชายเร่ร่อนไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 40 ปี สภาพร่างกายมอมแมม สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ไม่สวมเสื้อ กำลังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งโวยวายไม่ได้ศัพท์ พร้อมกับใช้อาวุธมีดปลายแหลม ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร จี้คอนายโอฬาร กรกมลรัตน์ อายุ 60 ปี เจ้าของร้านซึ่งป่วยเป็นอัมพาตเป็นตัวประกัน โดยชายเร่ร่อนดังกล่าวยังได้ถอดสายยางจากถังก๊าซหุงต้มภายในบ้านออก พร้อมขู่ไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาใกล้
จากการสอบถามเบื้องต้น ทราบว่าชายเร่ร่อนดังกล่าวชื่อ นายบุญยืน หรือตุ่น โพธิ์ขำ อายุ 39 ปี โดยอยู่ในอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ปล่อยตัวประกัน โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่เป็นผล นายบุญยืนยังคงใช้อาวุธมีดจ่อที่คอของตัวประกันตลอดเวลาทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าชาร์จจับกุมตัวได้เนื่องจากห่วงความปลอดภัยของตัวประกัน
หลังจากนั้นสถานการณ์ยังคงเป็นไปอย่างเคร่งเครียด จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไปนิมนต์หลวงพ่ออนันต์ ศิรานันโต จากวัดชนะสงคราม เพื่อเข้ามาเกลี้ยกล่อมนายบุญยืน โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานกว่า 30 นาที นายบุญยืนจึงมีท่าทีสงบลงและยอมปล่อยตัวประกันในที่สุด
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดขณะที่นายบุญยืนกำลังเดินหาของเก่าไปขายอยู่ที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สน.ชนะสงคราม เรียกตรวจด้วยความกลัว ประกอบกับมีอาการทางจิตเภท จึงวิ่งหลบหนีเข้าไปภายในวัด ก่อนปีนออกมาทางกำแพงหลังวัดซึ่งติดอยู่กับที่เกิดเหตุ พบนายโอฬารนอนพักผ่อนอยู่ภายในบ้านจึงจับเป็นตัวประกันดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะหลวงพ่อพระภิกษุพาตัวนายบุญยืนออกมาจากที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ามีอาสาสมัครกู้ภัยรายหนึ่งพุ่งเช้าชาร์จตัวนายตุ่นอย่างแรง และเกือบจะมีการรุมประชาทัณฑ์กันเกิดขึ้นโชคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ก่อนควบคุมตัวนายบุญยืนไปดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกเคหะสถานในยามวิกาล กักขังหน่วงเหนี่ยว และพยายามฆ่า ผู้อื่น