รมช.คลังแถลงจับสินค้าหนีภาษี ผู้ต้องหาลักลอบนำเงินตราเข้าออกประเทศ มูลค่าความเสียหาย 149 ล้าน พร้อมนำทัพรถแบ็คโฮทำลายเครื่องผลิตซีดีที่ลักลอบขนส่งผ่านไทยปิดป้ายคนละชนิดสินค้า
วันนี้ (10 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวจับกุมสินค้าลักลอบหนีภาษีศุลกากร จับกุมผู้ต้องหาลักลอบนำเงินตราต่างประเทศเข้าออกไปประเทศโดยผิดกฎหมาย พร้อมทั้งการทำลายเครื่องผลิตแผ่นซีดี
นายประดิษฐ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้ทำการจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวนหลายชนิด ประกอบด้วย น้ำยาลบคำผิด ของเล่นเด็ก เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กระเป๋า แว่นกันแดด เข็มขัด และเครื่องสำอางแบรนด์เนมหลายยี่ห้อ รวมไปถึงอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ เครื่องช็อตไฟฟ้า เครื่องคิดเลขอีกหลายชิ้น รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นประมาณ 149 ล้านบาท จึงยึดของกลางเอาไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายประดิษฐ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังได้จับกุมชาวต่างชาติที่ลักลอบนำเงินตราต่างประเทศเข้าและออกไปต่างประเทศ โดยผิดกฎหมาย จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายโมฮัมเหม็ด ฟาลุค ทามีมคาน อายุ 41 ปี สัญชาติอินเดีย พร้อมของกลางเงินสกุลยูโร จำนวน 150,000 ยูโร และ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 7,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.51 ล้านบาท ขณะกำลังลักลอบนำเงินจำนวนดังกล่าวออกไปนอกราชอาณาจักร
รายที่ 2 จับกุมนายสัตตา รามีส์ อายุ 37 ปี สัญชาติปากีสถาน พร้อมของกลางเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐจำนวน 232,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.71 ล้านบาท ขณะนำเงินจำนวนดังกล่าว เข้ามาจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งผู้ต้องหาพยายามหลีกเลี่ยงการสำแดงสินค้าที่นำติดตัวเข้ามาในประเทศ และรายสุดท้ายจับกุมนายฟาโนดีร่า แอนเดียนมามบินิน่า อายุ 30 ปี สัญชาติมาดากัสการ์ พร้อมของกลางกล้องถ่ายรูปดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ และเงินสกุลยูโร จำนวน 113,045 ยูโร หรือประมาณ 5.43 ล้านบาท ขณะพยายามหลีกเลี่ยงการสำแดงสินค้าที่นำติดตัวเข้ามาในประเทศเช่นกัน
นอกจากนี้ นายประดิษฐ์ ยังได้เป็นประธานในการใช้รถแบคโฮทำลายเครื่องผลิตแผ่นซีดี ยี่ห้อโอเมก้า จำนวน 1 เครื่อง หลังจากบริษัท ซีพีเอ็น ทรานส์เซอร์วิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้นำเข้ามาจากประเทศฮ่องกง และกำลังจะส่งต่อไปยังประเทศพม่า แต่สำแดงสินค้าเป็นเครื่องผลิตป้ายฉลาก เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบจึงเข้าจับกุมและยึดไว้เป็นของกลาง ต้องทำลายทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้นำสินค้ากลับมาหมุนเวียนในท้องตลาด