ศาลเปิดคดี “ชนม์สวัสดิ์” กับพวก ขัดขวาง จร.สน.มักกะสัน เจ้าตัวปฏิเสธสู้คดี อัยการนัดสืบพยาน 15 ปาก 4 นัด ส่วนพยานโจทก์ 8 ปาก สืบนัดแรก 17 ก.ย.นี้
วันนี้ (10 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 714 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดแถลงเปิดคดีหมายเลขดำที่ อ.79/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายชนม์สวัสดิ์ หรือเอ๋ อัศวเหม นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสมุทรปราการ บุตรชายของนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน, นายสกุล ประมูลชัย และนายปรัชญา ไชยะกุล คนสนิทของนายชนม์สวัสดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตำรวจ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และขัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์
โดยศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้พวกจำเลยฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบถามว่าจะให้การรับสารภาพ หรือปฏิเสธ ปรากฏว่าจำเลยแถลงให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ฝ่ายอัยการโจทก์แถลงขอนำพยานเข้าสืบ 15 ปาก ใช้เวลา 4 นัด ขณะที่ทนายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบ 8 ปาก ใช้เวลา 2 นัด ศาลนัดจึงสืบพยานโจทก์วันที่ 17, 18, 19 และ 24 ก.ย.นี้ และนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 25-26 ก.ย.นี้
สำหรับคดีนี้โจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค.50 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันข่มขืนใจ ส.ต.อ.ปรารภ แสงนิล ผบ.หมู่งานจราจร สน.มักกะสัน ผู้เสียหายให้ยินยอมหรือละเว้นไม่ต้องให้จำเลยที่ 1 ไปตรวจวัดหาปริมาณแอลกอฮอล์ที่ด่านตรวจฯ แล้วจำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้มือจับข้อมือ ใช้แขนล็อกคอและใช้มือดันหลังผู้เสียหายให้เข้าไปภายในอาคารสำนักงานภายในปั๊มน้ำมันเพรียวฯ แต่กระทำไปไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายไม่ยินยอมละเว้นตามที่จำเลยทั้งสามร่วมกันข่มขืนใจ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันต่อสู้ขัดขวางผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายฯ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 ได้บังอาจดูหมิ่น เหยียดหยามเกียรติยศศักดิ์ศรีชื่อเสียงของผู้เสียหาย 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ สน.มักกะสัน ในขณะที่ปฏิบัติการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ให้ได้รับความอับอายเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงและศักดิ์ศรี อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 138, 139, 140