“โฆษกอัยการ” เผยคณะทำงานร่วมอัยการ-คตส.คดีหวยบนดิน ยังไม่ได้ข้อยุติว่า คตส.จะยื่นฟ้องเองหรือไม่ หลัง คตส.ยืนยันจะไม่สอบเพิ่มตามความเห็นอัยการสูงสุด เตรียมประชุมอีกครั้ง 1 ก.พ.นี้
วันนี้ (28 ม.ค.) นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายเศรษฐกิจและทรัพยากร ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงการประชุมพิจารณาสำนวนคดีออกสลากเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน) ของคณะทำงานร่วมอัยการและคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การประชุมยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งการประชุมคณะทำงานร่วม คตส.เห็นว่าสำนวนการไต่สวนของ คตส.สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว แม้ว่านายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุดจะมีความเห็นสมควรให้สอบสวนเพิ่มเติมอีก 5 ประเด็น ดังนั้น คณะทำงานร่วมจะประชุมหารือกันอีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ซึ่งหาก คตส. เห็นว่าสำนวนดังกล่าวไม่จำเป็นต้องสอบเพิ่มเติมแล้ว ทาง คตส.สามารถฟ้องคดีดังกล่าวเองได้ ตามที่กฎหมายได้เปิดช่องไว้ โดยโฆษกอัยการย้ำว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งระหว่างอัยการสูงสุดกับ คตส.แต่อย่างใด
ขณะที่แหล่งข่าวอัยการ กล่าวว่า ในการประชุมคณะทำงานร่วมเมื่อวันที่ 25 ม.ค. คตส.5 คนที่เป็นคณะทำงานร่วมมีความเห็นเบื้องต้นว่าจะไม่สอบสวนเพิ่มเติมตามความเห็นที่อัยการสูงสุดเสนอ โดยยืนยันสำนวนการไต่สวนที่ คตส.ชุดใหญ่มีความเห็นชี้ขาดให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี และครม.ที่เสนอและออกนโยบาย จนถึงกรรมการบริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตามนโยบาย รวม 47 คนนั้น พยานหลักฐานมีรายละเอียดครบถ้วนเพียงพอที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้ ขณะที่อัยการที่เป็นคณะทำงานร่วม ก็ยืนยันตามความเห็นของอัยการสูงสุดที่เสนอให้สอบสวนเพิ่มเติม แต่เมื่อความเห็นคณะทำงานร่วม ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน คตส.ทั้ง 5 คนซึ่งเป็นคณะทำงานร่วมเตรียมจะเสนอความเห็นให้ คตส.ชุดใหญ่พิจารณาในวันนี้ (28 ม.ค.) ว่าจะยื่นฟ้องเองหรือตามช่องทางที่กฎหมายให้อำนาจ คตส.หรือไม่ ซึ่งคณะทำงานร่วม คตส.จะแจ้งอัยการให้ทราบในวันพรุ่งนี้ โดยคณะทำงานร่วมนัดประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. เพื่อรับรองรายงานการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ม.ค.
แหล่งข่าวอัยการ ยังได้กล่าวด้วยว่า แม้ คตส.ชุดใหญ่จะชี้มูลให้สมควรสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 47 คน แต่มี คตส.เสียงข้างน้อยเห็นว่า พฤติการณ์ความผิดและพยานหลักฐานที่มีสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาในส่วน ครม.เพียง 2 คน และกรรมการบริหารของกองสลากฯ อีกเพียง 2 คน ดังนั้น ในการพิจารณาสำนวนอัยการ เห็นว่าการตั้งประเด็นที่ต้องพิจารณาในสำนวนคือ เรื่องเงิน ที่รัฐ และกองสลากฯ ได้จากการออกนโยบายออกสลากเลขท้าย 2 และ 3 ตัว ของ ครม.นั้นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาที่ออกนโยบายเพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้โดยมิชอบ หรือไม่ ซึ่งการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหารายใดจะต้องพิจารณาแยกส่วนว่า มีใครเกี่ยวข้องกับการออกนโยบายหรือปฏิบัติตามนโยบายอย่างไรบ้าง ดังนั้นที่ผ่านมาอัยการจึงเห็นว่าที่ คตส.ชี้มูลสมควรสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 47 คน โดยไม่แยกแยะรายละเอียดพฤติการณ์ วันเวลา กระทำผิด ข้อหาให้ชัดเจน รวมทั้งผู้ถูกกล่าวบางรายยังมีรายละเอียดที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้อัยการยังไม่สามารถมีความเห็นได้ว่าจะสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 47 คน หรือสั่งฟ้องเพียง 4 คน ตาม คตส.เสียงข้างน้อย หรือสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวรายใดบ้าง โดยการสรุปสำนวนสั่งฟ้องพยานหลักฐานที่มีต้องมีรายละเอียดชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวคนใด เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ที่กล่าวหาว่ามีการกระทำผิดอย่างไร เหมือนอย่างคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ที่เมื่อฟ้องแล้วบรรยายฟ้องได้ความชัดเจนทั้งวัน-เวลา เหตุการณ์ และพฤติการณ์ว่ามีใครเป็นซื้อ ใครเป็นผู้ขาย และ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องอย่างไรในการซื้อขาย หรือในคดีหลีกเลี่ยงชำระภาษีหุ้นก็เช่นเดียวกันที่สามารถระบุพฤติการณ์ของจำเลยทั้ง 3 คนที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด