xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวเด่น!รักขม"เปมิกา-หมอเผ่า"

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ข่าวหญิงอันเป็นที่รัก นาม"เปมิกา"กับ"หมอประกิตเผ่า"ถือว่า ผู้คนในสังคม คงจำได้เป็นอย่างดี ส่วนฝ่ายหญิง จะถูกหรือ ผิด ฝ่ายชาย จะมีส่วนร่วมในการก่อความรักอันขมขื่นขึ้นหรือไม่ และสุดท้าย คดีความจะจบลงอย่างไร ถือเป็นอีกบทหนึ่งของชีวิตจริง ที่ทีมข่าวอาชญากรรม นำมาเสนอ เพื่อเตือนสติ ผู้คนในสังคม ให้พึง คิดดี ทำดี ..และท่านจะไม่เกิดทุกข์


ข่าวดังที่น่าสนใจ เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของผู้คนในสังคม คือคดีระหว่าง น.ส.เปมิกา หรือ น.ส.สิริรัษสิริ หรือ ชื่อเดิมว่าศิวพร เหลืองเรณูกุล หรือ “อุ๋ย” นิสิตปี 4 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับนายแพทย์ประกิตเผ่า ทมชิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ และครอบครัวตระกูลทมชิตชงค์

ความวุ่นวายของคดีนี้เริ่มจาก เมื่อวันที่ 20 ก.พ.50 น.ส.เปมิกา อ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทของ นพ.ประกิตเผ่า ได้แจ้งความกับ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ว่า นพ.ประกิตเผ่า ถูกครอบครัวนำตัวเข้ารักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ทั้งที่ไม่ได้มีอาการทางจิต เกรงว่าอาจจะเกิดอันตราย โดยเมื่อวันที่ 19 ก.พ. นายแพทย์ประกิตเผ่า บอกว่าจะเดินทางไปจดทะเบียนหย่าร้างกับภรรยา ที่จ.นครปฐม แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่ง นพ.ประกิตเผ่าโทรศัพท์มาบอกว่าถูกพี่ชายส่งตัวมาอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา อ้างว่า นพ.ประกิตเผ่า มีส่วนร่วมกับการฆาตกรรมภรรยาตนเอง นพ.ประกิตเผ่า จึงขอให้ตนตรวจสอบว่าภรรยาเสียชีวิตจริงหรือไม่ และขอให้แจ้งตำรวจเพื่อมารับตัวออกจากโรงพยาบาลศรีธัญญา

ต่อมา พ.ต.ท.ฐิติเดช จึงประสานไปยังโรงพยาบาลศรีธัญญาเพื่อตรวจสอบว่านายแพทย์ประกิตเผ่า ถูกส่งตัวมารักษาจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่พบรายชื่อของนายแพทย์ประกิตเผ่า ในบัญชีรายชื่อคนไข้ของโรงพยาบาลศรีธัญญา วันที่ 27 ก.พ. พ.ต.ท.ฐิติเดช และ น.ส.เปมิกา จึงได้ยื่นคำร้องไต่สวนฉุกเฉินต่อศาลอาญา เพื่อให้มีคำสั่งปล่อยตัวนายแพทย์ประกิตเผ่า โดยอ้างว่าโรงพยาบาลศรีธัญญาควบคุมตัวนายแพทย์ประกิตเผ่าโดยมิชอบ เพราะตำรวจสอบปากคำพยานหลายปากแล้วยืนยันว่านายแพทย์ประกิตเผ่า ไม่ได้มีอาการทางจิตแต่อย่างใด

ขณะที่นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของนพ.ประกิตเผ่าได้ยื่นคัดค้านคำร้องของพนักงานสอบสวน และวันเดียวกันนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.โรงพยาบาลศรีธัญญา พร้อมด้วยนายแพทย์ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ พี่ชายหมอประกิตเผ่าเปิดแถลงข่าวโดยยืนยันว่านายแพทย์ประกิตเผ่ามีอาการป่วยทางจิต ชนิดหวาดระแวง คิดว่าตนเองมีเวทมนตร์ มีอำนาจพิเศษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้ และตรวจพบ “สารเอฟิดรีน” ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ ต่อจิตประสาทในปัสสาวะ นายแพทย์ประกิตเผ่าในปริมาณที่สูงกว่าปกติถึง 200 เท่า หลังจากนั้นครอบครัวทมชิตชงค์ก็ได้เปิดบ้านแถลงข่าวอีกครั้ง โดยนายแพทย์ประกิตพันธ์ระบุว่า น้องชายเริ่มมีอาการผิดปกติ เมื่อประมาณเดือน ต.ค.49 โดยสนใจนั่งสมาธิมากขึ้น มีอาการซึม หวาดระแวงเกรงว่าภรรยาจะปองร้าย นอกจากนี้ยังใส่ เสื้อเกราะและพกปืนติดตัว 3 กระบอก

“ครอบครัวทมทิตชงค์ขอความเป็นธรรมจากสังคมว่าภายหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนในครอบครัว โดยเฉพาะบุตรของนายแพทย์ประกิตเผ่าเอง” นายแพทย์ประกิตพันธ์กล่าวเปิดใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชายตัวเอง

อีกด้านหนึ่งศาลก็ได้มีคำสั่งให้ย้ายนายแพทย์ประกิตเผ่าไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์และห้ามผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าเยี่ยมนายแพทย์ประกิตเผ่าอย่างเด็ดขาด อีกทั้งศาลได้มีคำพิพากษาให้ยกคำร้องของพนักงานสอบสวนและน.ส.เปมิกา ที่ขอให้โรงพยาศรีธัญญาปล่อยตัวนายแพทย์ประกิตเผ่า เนื่องจากพบว่านายแพทย์ประกิตเผ่ามีสภาพจิตใจไม่ปกติ

ขณะเดียวกันกระแสของสังคมเริ่มตั้งคำถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้ ซึ่งทางด้านพ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ ยืนยันว่า ตนทำไปตามหน้าที่ เพราะเมื่อมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามหน้าที่ ไม่ได้รู้จักกับใครมาก่อน และไม่ได้รับสินบนแน่นอน และไม่รู้สึกกังวล หากมีใครจะฟ้องดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย

หลังจากข่าวคราวของนายแพทย์ประกิตเผ่าได้รับความสนใจและพาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับตลอดสองสัปดาห์ ในที่สุดวันที่ 5 มี.ค. นายแพทย์ประกิตพันธ์ และนางอลิสา ทมชิตชงค์ พี่ชายและภรรยานายแพทย์ประกิตเผ่า ได้เดินทางไปร้องเรียนที่กองปราบปรามเพื่อให้ช่วยสืบสวนหาสาเหตุว่า สารเอฟีดรีนเข้าไปอยู่ในตัวนายแพทย์ประกิตเผ่าได้อย่างไร พร้อมแจ้งความให้ดำเนินคดีกับน.สเปมิกากับพวกข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ด้วย

เรื่องราวยังไม่จบเท่านั้น เมื่อภรรยานายแพทย์ประกิตเผ่าได้ส่งทนายฟ้อง น.ส.เปมิกาต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ฐานแสดงตนต่อสาธารณชนว่ามีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวกับสามีตน เรียกค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงและทุกข์ทรมานจิตใจเป็นเงิน 27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งนางอลิสา ภรรยานายแพทย์ประกิตเผ่าเปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเสียหายแก่ครอบครัวเป็นอย่างมาก อยากให้สังคมรับรู้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ และเปิดเผยว่าเตรียมฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายอีกหลายคดี

ขณะที่ฝ่าย น.ส.เปมิกา ก็จัดทนายฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาทเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 22 พ.ค.น.ส.เปมิกาได้มอบหมายให้นายอภิชาติ ศรสาย ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ยื่นฟ้อง นายแพทย์ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ และ นางอลิสา ทมทิตชงค์ พี่ชายและภรรยานายแพทย์ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีที่ทั้งสองได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ“จับเข่าคุยกัน” ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2550 ในคำฟ้องสรุปว่าจำเลยทั้งสองได้ใส่ร้ายโจทก์ว่าเป็นคนวางยานายแพทย์ประกิตเผ่า อีกทั้งยังกล่าวข้อความดูหมิ่นและใส่ร้ายโจทก์อีกว่าทำจิตวิทยาหมู่กับ นพ.ประกิตเผ่า เจตนาให้บุคคลที่รับชมรายการเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี วางยานายแพทย์ประกิตเผ่า และเป็นคนคดโกงหลอกลวง ทั้งที่ความจริงยังไม่ทราบว่า นพ.ประกิตเผ่า จะถูกวางยาหรือไม่ จนต่างฝ่ายก็ตกเป็นโจทก์และจำเลยในคดีที่ฟ้องร้องกัน หลังจากนั้นจึงมีการส่งสัญญาณขอเจรจาไกล่เกลี่ยกันโดยทนายน.ส.เปมิกา ได้ยื่นข้อเสนอไกล่เกลี่ยในคดีที่ภรรยานายแพทย์ประกิตเผ่า ยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เรียกค่าเสียหาย 27 ล้านบาท แต่ภรรยานายแพทย์ประกิตเผ่าขอให้น.ส.เปมิกาชดใช้ทรัพย์สินที่อ้างว่าหลอกไปจากสามีจำนวนประมาณ 10 ล้านบาทก่อน ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ กระทั่งมีการฟ้องร้องกันไปมาอีกรวมทั้งสิ้น 5 สำนวน

วันหนึ่งขณะขึ้นศาลเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท น.ส.เปมิกา พูดเชิงตัดพ้อ นพ.ประกิตเผ่า ว่า"ตอนนี้ไม่อยากพูดถึงพี่ป๊อบ (นพ.ประกิตเผ่า) เพราะยังรู้สึกเสียใจ และผิดหวังมาก หลังจากที่พี่หมอออกมาจากโรงพยาบาลก็ยังไม่เคยได้คุยกัน และพ่อของตนก็โกรธมาก ซึ่งตนก็อยากจะคุยและพ่อเองก็อยากจะถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้

ขณะที่บิดาของ น.ส.เปมิกา พูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ ว่า คนเป็นลูกผู้ชายทำอะไรต้องยอมรับ ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ถ้าไม่ได้ทำก็บอกว่าไม่ได้ทำ แต่หมอเผ่าเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ กล้าทำก็ต้องกล้ารับ แค่นั้นเอง ไม่ใช่ทำเป็นโยนให้คนอื่น กล้าที่จะมาพูดกับตนหรือไม่ เพราะตนมีลูกสาวคนเดียว

และแม้ศาลจะพยายามไกล่เกลี่ยประนีประนอมหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ต้องสู้คดีกันในชั้นศาล ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะรู้ผล แต่ไม่ว่าคำพิพากษาของศาลในคดีความระหว่างตระกูลทมชิตชงค์ กับ น.ส.เปมิกาหรือ“น.ส.สิริรัษสิริ เหลืองเรณูกุล” ทั้ง 5 สำนวนจะเป็นเช่นไร ใครคือผู้แพ้หรือชนะ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมต่อธุรกิจหรือสถาบันกวดวิชาอันโด่งดังที่ชื่อว่า"แอพพลายด์ฟิสิกส์"อย่างแน่นอน ไม่อาจจะปฏิเสธได้

ส่วนข้อเท็จจริงตำนานรัก ของผู้หญิงที่ชื่อ "เปมิกา" เขาได้ขีดเขียนเส้นทางชีวิตให้ปรากฎเป็นข่าวขึ้น จะเกิดจาก ฝ่าย "เปมิกา" เพียงคนเดียว หรือ "หมอเผ่า"จะมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ "เปมิกา และ หมอเผ่า"เท่านั้นที่รู้ดีที่สุด และสุดท้าย คดีความจะจบลงอย่างไร "เปมิกา"คือ ผู้พ่ายแพ้ หรือ ชนะ คงต้องติดตามกันต่อไป








กำลังโหลดความคิดเห็น