“ดีเอสไอ” หิ้ว 3 ผู้บริหาร หจก.สายไฟไทยอุตสาหกรรม ฝากขัง คดีเลี่ยงภาษีกว่า 280 ล้าน แต่ไม่ค้านประกัน
วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นางเปรมจิตต์ สาโท พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำตัว นายไพศิษย์ ชูชินวัตร อายุ 52 ปี นางอรวรรณ ชูชินวัตร อายุ 50 ปี และนายไพรัตน์ ชูชินวัตร อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาคดีหลีกเลี่ยงภาษีอากรกว่า 280 ล้านบาท มาขออำนาจศาลฝากขัง
โดยคำร้องสรุปว่า เมื่อต้นปี 2550 กรมสรรพากรตรวจพบว่าผู้ต้องหากับพวกมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงการเสียภาษีจึงทำการตรวจสอบ ตามกฎหมายพบว่า ผู้ต้องหากับ นายไพโรจน์ ชูชินวัตร ได้เปิดบัญชีเงินฝาก ประเภทกระแสรายวัน 2 บัญชี โดยระบุว่าเป็นบัญชีส่วนบุคคล คือ บัญชีเงินฝาก ธนาคารกสิกรไทย สาขาปู่เจ้าสมิงพราย และบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาปู่เจ้าสมิงพราย โดยมีเงินนำฝากเข้าบัญชีในปี 2540 จำนวน 262 ล้านบาทเศษ และในปี 2541 จำนวน 121.8 ล้านบาทเศษ แต่กลับไม่มีข้อมูลการมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.94 และ 90 เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกเพื่อตรวจ ซึ่งผู้ต้องหาก็ไม่ได้ชี้แจง โดยไม่สามารถนำหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่า เงินฝากถอนของบัญชีดังกล่าวเป็นเงินรับจ่ายมาจากค่าอะไร เจ้าพนักงานจึงถือว่าเป็นผู้มีเงินได้แต่ไม่ยอมเสียภาษี จำต้องเรียกเก็บภาษีย้อนหลังและเบี้ยปรับ ของปี 2540 จำนวน 192,351,378 บาท และ 2541 จำนวน 88,320,240 บาท รวมเป็นเงิน 280,671,618 บาท การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการจงใจไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีและไม่ให้เข้อเท็จจริงแก่พนักงานประเมิน จึงเป็นความผิดตามกฎหมาย ป.รัษฎากร มาตรา 37 ฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรือวิธีอื่นใดทำนองเดียวกัน เหตุเกิดที่แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และ ต.สำโรงกลาง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ บ้านเลขที่ 55-61 ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
พนักงานสอบสวน ได้สอบสวนผู้ต้องหาแล้ว ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ดังนั้นการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องรอการตรวจพิสูจน์ต่างๆ ด้วยเหตุผลความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังมีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.50-5 ม.ค.51 หากผู้ต้องหาขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนไม่คัดค้าน
ศาลพิจารณาคำร้องฝากขังและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตตามคำร้อง
วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นางเปรมจิตต์ สาโท พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำตัว นายไพศิษย์ ชูชินวัตร อายุ 52 ปี นางอรวรรณ ชูชินวัตร อายุ 50 ปี และนายไพรัตน์ ชูชินวัตร อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาคดีหลีกเลี่ยงภาษีอากรกว่า 280 ล้านบาท มาขออำนาจศาลฝากขัง
โดยคำร้องสรุปว่า เมื่อต้นปี 2550 กรมสรรพากรตรวจพบว่าผู้ต้องหากับพวกมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงการเสียภาษีจึงทำการตรวจสอบ ตามกฎหมายพบว่า ผู้ต้องหากับ นายไพโรจน์ ชูชินวัตร ได้เปิดบัญชีเงินฝาก ประเภทกระแสรายวัน 2 บัญชี โดยระบุว่าเป็นบัญชีส่วนบุคคล คือ บัญชีเงินฝาก ธนาคารกสิกรไทย สาขาปู่เจ้าสมิงพราย และบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาปู่เจ้าสมิงพราย โดยมีเงินนำฝากเข้าบัญชีในปี 2540 จำนวน 262 ล้านบาทเศษ และในปี 2541 จำนวน 121.8 ล้านบาทเศษ แต่กลับไม่มีข้อมูลการมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.94 และ 90 เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกเพื่อตรวจ ซึ่งผู้ต้องหาก็ไม่ได้ชี้แจง โดยไม่สามารถนำหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่า เงินฝากถอนของบัญชีดังกล่าวเป็นเงินรับจ่ายมาจากค่าอะไร เจ้าพนักงานจึงถือว่าเป็นผู้มีเงินได้แต่ไม่ยอมเสียภาษี จำต้องเรียกเก็บภาษีย้อนหลังและเบี้ยปรับ ของปี 2540 จำนวน 192,351,378 บาท และ 2541 จำนวน 88,320,240 บาท รวมเป็นเงิน 280,671,618 บาท การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการจงใจไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีและไม่ให้เข้อเท็จจริงแก่พนักงานประเมิน จึงเป็นความผิดตามกฎหมาย ป.รัษฎากร มาตรา 37 ฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรือวิธีอื่นใดทำนองเดียวกัน เหตุเกิดที่แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และ ต.สำโรงกลาง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ บ้านเลขที่ 55-61 ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
พนักงานสอบสวน ได้สอบสวนผู้ต้องหาแล้ว ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ดังนั้นการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องรอการตรวจพิสูจน์ต่างๆ ด้วยเหตุผลความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังมีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.50-5 ม.ค.51 หากผู้ต้องหาขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนไม่คัดค้าน
ศาลพิจารณาคำร้องฝากขังและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตตามคำร้อง