ดีเอสไอรวบ “เสี่ยอู๊ด” คาสนามบินสุวรรณภูมิ ขณะเตรียมขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น ระบุมีพฤติกรรมส่อหลบหนีออกนอกประเทศ พร้อมแจ้งข้อหาทำผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 47 หลังแอบอ้างได้รับดอกไม้พระราชทานมาเป็นมวลสารในการจัดสร้าง “พระสมเด็จเหนือหัว” ขณะที่เจ้าตัวเปิดแถลงข่าวโต้ก่อนถูกจับว่าไม่ได้หลอกลวงประชาชน ระบุเจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯ ที่เคยให้ความอุปถัมภ์ ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยจัดสร้าง พร้อมปฏิเสธไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องเงิน สงสัยมีคนสูญเสียผลประโยชน์กลั่นแกล้ง
เมื่อเวลา 21.45 น.วานนี้ (22 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำหมายศาลเข้าจับกุมตัวนายสิทธิกร บุญฉิม หรือ “เสี่ยอู๊ด” ประธานกรรมการบริษัท ไดมอนท์ ฮิลล์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ได้ที่บริเวณประตู 4 สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะกำลังเดินทางขึ้นเครื่องบินเดินทางไปยังประเทญี่ปุ่นโดยสารการบินไทย เที่ยวบินทีจี 640 ปลายทางสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ในเวลา 22.00 น.โดยระบุว่าพฤติกรรมดังกล่าวส่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ จึงต้องควบคุมตัวไว้ก่อน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้บันทึกการจับกุม พร้อมนำตัวไปสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ด้าน พ.อ.ปิยวัฒก์ กิ่งเกตุ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้ นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิชัย ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ได้ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษนำคำร้องไปยื่นต่อศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับนายสิทธิกร ในข้อหากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 47
โดยลักษณะการทำความผิดก็คือ เจตนาทำให้สำคัญผิดในสาระสำคัญในการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว โดยอ้างว่าได้รับดอกไม้พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นมวลสารในการจัดสร้างองค์พระสมเด็จเหนือหัว ซึ่งทางสำนักพระราชวังได้ยืนยันว่าไม่เคยมีการขอพระราชทานมวลสารไปจัดสร้างแต่อย่างใด และยังมีการนำตราพระมงกุฏมาประทับไว้หลังด้านองค์พระด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการโฆษณาทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดจนมีการสั่งจองเป็นจำนวนมาก
พ.อ.ปิยวัฒก์ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายสิทธิกรได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะที่นายสิทธิกรกำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ โดยสารการบินไทย เที่ยวบินทีจี 640 สุวรรณภูมิ-นาริตะ โดยหลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบ โดยผู้ต้องหาจะให้การหรือไม่การอย่างไรก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ส่วนเรื่องการให้ประกันตัวนั้นเป็นดุลพินิจของผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และพนักงานสอบสวน
ด้าน นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิชัย ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้จับตัวนายสิทธิกรตามหมายศาล โดยประสานสตม.จับกุมตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นก็คุมตัวมาสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยจากการสอบสวนเบื้องต้น นายสิทธิกรยังให้การปฏิเสธอยู่ เพราะเจ้าตัวคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นไม่ได้เป็นการหลอกลวง
นายสรรเสริญ กล่าวต่อว่า การออกหมายจับในครั้งนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานมาว่า เป็นการทำให้ประชาชนหลงเชื่อ และนายสิทธิกรกำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ จึงเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหาย ทางเจ้าหน้าที่จึงออกขออนุมัติหมายจับจากศาล โดยหลังจากการสอบสวนแล้วจะอนุญาตให้ประกันตัวออกไป โดยใช้หลักทรัพย์ 1 ล้านบาท โดยได้ประสานกับนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วก็ได้รับคำสั่งอนุมัติที่ให้ประกันตัวได้
“สาเหตุที่ให้ประกันนั้นเป็นไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไร เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 47 ซึ่งถือว่าเป็นเพียงความผิดเล็กน้อย เพียงแต่ต้องจับกุมมาเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากมีพฤติการณืที่ทำให้เข้าใจว่าจะหลบหนี นอกจากนี้จะดำเนินการขอไม่ให้นายสิทธิกร เดินทางออกนอกประเทศในระยะนี้ ส่วนเรื่องจะมีการออกหมายจับใครเพิ่มหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่มี” นายสรรเสริญ กล่าว
หลังจากเจ้าหน้าที่สอบปากคำนายสิทธิกร จนถึงเวลาประมาณ 02.15 น. ก็ได้อนุญาตให้ประกันตัวออกไป จากนั้นนายสิทธิกรได้เดินทางกลับโดยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน วย-998 กทม.โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ก่อนหน้าที่นายสิทธิกรจะถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับกุมนั้น ในเวลา 17.30 น วานนี้ (22 ธ.ค.) ตึกช้าง ถนนพหลโยธิน นายสิทธิกร ได้เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ว่า บริษัทตนรับจัดสร้างพระรุ่นสมเด็จเหนือหัว เนื่องจาก ได้รับหนังสือขอความอนุเคราะห์จากมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ซึ่งมีพระวิสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นประธาน โดยพระวิสุทธาธิบดีเป็นผู้ให้บริษัทตนออกแบบ และจัดสร้างพระรุ่งดังกล่าว เพื่อนำไปเปิดให้ประชาชนเช่าบูชา โดยมีช่องทางการสั่งจองผ่านธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารทหารไทย ธนาคารนครหลวงไทย และตามที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นงานบุญและพระวิสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ ก็เคยมีพระคุณช่วยให้ความอุปถัมภ์ตนมาตั้งแต่เด็กๆ
นายสิทธิกร กล่าวต่อว่า ก่อนจะมีการสร้างพระรุ่นนี้ ทีแรกก็มีการพูดคุยกันก่อนแล้วว่า อาจจะมีเหตุการณ์เรื่องลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะการสร้างพระรุ่นนี้เป็นที่ฮือฮาของประชาชนทำให้ความต้องการมีสูง ซึ่งรายได้จากให้เช่าบูชาก็จะนำไปสมทบทุนสร้างสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ ทรงจัตุรมุข ยอดปราสาท และโรงเรียนที่ จ.ราชบุรี โดยใช้งบประมาณ 250 ล้านบาท โดยช่างของกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ ส่วนมวลสารที่มีการลงโฆษณาว่า ได้รับพระราชทานมานั้น สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.49 ซึ่งเป็นวันฉลองครองราชย์ 60 ปี ประธานมูลนิธิฯ ได้พระราชทานเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ 2 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นกระบะมุขเครื่อง 5 ประดับตราพระราชลัญจกร 8 รัชกาล ซึ่งจะนำไปประดิษฐานไว้ที่อุโบสถ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นพุ่มเทียนดอกไม้สด ซึ่งต่อมาดอกไม้ได้เหยี่ยวแห้ง จึงได้นำมาเป็นมวลสารในการสร้างพระ
ต่อข้อซักถามว่า การจัดสร้างพระในครั้งนี้ถูกต้องหรือไม่ นายสิทธิกร กล่าวว่า อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าผู้จัดสร้างมีวัตถุประสงค์ที่ดี มีความตั้งใจที่ดีและมีความบริสุทธิ์ใจ แต่ก่อนหน้านี้ตนก็เคยทักทวงไปว่า การสร้างพระอาจรุ่นนี้จะถูกโจมตีและมีปัญหา แต่ท่านเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์บอกว่าไม่เป็นไร เพราะเรามีเจตนาที่ดี หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ค่อยมาว่ากันที่หลัง ส่วนคนที่นำพระมาคืน ตนอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เราไม่ได้บังคับให้มาเช่าหรือหลอกลวงแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดเป็นการเช่าด้วยความสมัครใจ เพราะประชาชนได้เห็นพระที่สร้างเสร็จแล้ว ใครถูกใจก็เช่าไปตามความศรัทธา คนที่เอาพระมาคืนตนอยากทราบว่าเพราะอะไร ถ้าศาลมีคำพิพากษาว่าตนผิดจริง ก็ให้นำมาคืนตนจะรับผิดชอบ
“จากนี้ไปใครจะรับผิดชอบชื่อเสียงผม โครงการสร้างอุโบสถก็ต้องหยุด เพราะพระรุ่นนี้ถูกห้ามให้เช่าบูชาแล้ว ต่อไปถ้ากระบวนการยุติธรรมตัดสินออกมาว่า ผมไม่ผิดแล้วใครจะกล้าออกมารับผิดชอบ ในขณะที่ผมต้องมีภาวะจัดหาทุน เพื่อนำมาสร้างอุโบสถและโรงเรียนตามที่รับปากไว้ หากผลการตัดสินว่าผมผิดจริงก็จะไม่เสียใจเลย” นายสิทธิกร กล่าว
นายสิทธิกร กล่าวต่อไปว่า คำว่าฉ้อโกงต้องดูว่าผลประโยชน์อยู่ที่ใคร จริงๆ แล้วผลประโยชน์อยู่ที่วัดและโรงเรียน ไม่ได้มาตกอยู่ที่ตนเอง ส่วนคนที่นำพระมาคืนอาจเป็นพวกที่ไปเช่าเพื่อเกร็งกำไร เมื่อมีข่าวออกมาจึงทำให้พระไม่มีราคาเลยนำมาคืน ส่วนเงินที่ได้มาจากการเปิดให้เช่าพระ ตนก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพราะธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิ และตนไม่มีสิทธิจะไปเบิกอยู่แล้ว ส่วนที่ไปรษณีย์ก็ต้องหักค่าใช้จ่ายก่อน เงินที่เหลือก็จะนำมาสมทบเงินในบัญชี
นายสิทธิกร กล่าวต่อว่า ตนไม่อยากพูดให้ไปกระทบกระเทือนใคร แต่ยอมรับว่าอาจมีกลุ่มบุคคลที่สูญเสียผลประโยชน์จากการสร้างพระรุ่นดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาตนได้สร้างพระมาแล้วหลายรุ่น ก็อาจจะไปทำให้มีคนที่สร้างพระรุ่นอื่นเสียผลประโยชน์ ที่ผ่านมาตนก็เคยถูกข่มขู่มาบ้าง ซึ่งตรงนี้ตนอาจจะถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่มบุคคลนั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามตนก็พร้อมที่จะไปให้ข้อมูลกับทางดีเอสไอ
“DSI” แจ้งสมภารวัดสุทัศน์เตรียมฟันผู้สร้าง “สมเด็จเหนือหัว”
สมภารวัดสุทัศนฯ ไม่พร้อมแจง “สมเด็จเหนือหัว” ขอเวลาตั้งตัว!!
“DSI” ดูท่าที เจ้าอาวาสวัดสุทัศนฯ แถลงที่มา “สมเด็จเหนือหัว”
DSI เตือนไปรษณีย์ยุติให้เช่า “สมเด็จเหนือหัว”
“ดีเอสไอ” เดินหน้าสอบคดีพระสมเด็จเหนือหัวเต็มตัว ยันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน!!
“ป๋อง สุพรรณ” ชี้ “เสี่ยอู๊ด” คนผุดสมเด็จเหนือหัว-ไม่รู้เงินไปไหน!
“ดีเอสไอ” จับมือ “สคบ.” รับเรื่องร้องทุกข์คนสั่งจอง “พระสมเด็จเหนือหัว!”
“ดีเอสไอ” พร้อมเชือดผู้จัดสร้าง “สมเด็จเหนือหัว”
“จรัญ” ชี้ช่องผู้เช่า “สมเด็จเหนือหัว” เรียกเงินคืนได้!!
DSI เตรียมกระชากหน้ากาก “เสี่ย อ.” แอบอ้างผุดสมเด็จเหนือหัว
“จรัญ” สั่งสอบการสร้างพระสมเด็จเหนือหัวแอบอ้างเบื้องสูง!