xs
xsm
sm
md
lg

ฟ้องแล้ว “เปมิกา” แฉละเอียดยิบขั้นตอนลวง “หมอเผ่า” ติดกับ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

“เปมิกา” แม้จะเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ดก็ไม่อาจช่วยได้ อัยการฟ้องแล้วพร้อมเพื่อนร่วมก๊วน 3 คน หลอกลวง “หมอเผ่า” เจ้าของสถาบันกวดวิชาดังหลายรูปแบบทั้งระลึกชาติ เคยเป็นเมีย เป็นขุนศึกสมัยกรุงศรีอยุธยา ถูกเมียหลวงตามฆ่าทุกชาติ ให้เช่าพระแก้คุณไสย หาปืนไว้ป้องกันตัว เช่าคอนโดฯ ไว้หลบภัย ซื้อรถเก๋งคันหรูเพื่อชดใช้กรรม ได้ทรัพย์สินเข้ากระเป๋าไปเกือบ 10 ล้าน ยันให้การปฏิเสธ ขอสู้คดีในศาล แล้วความจริงจะถูกเปิดเผย ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจลูกผู้หญิงด้วยกัน

วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 รัชดาภิเษก น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อายุ 25 ปี, น.ส.ฤทัย หรือแนน รุ่งสิริเมธากุล อายุ 23 ปี, นายณัฐพล หรือภาสยภูริณฐ์ หรือตั้ม พรมประไพร อายุ 28 ปี และนายวทัญญู หรือปุ้ย ตันธีระพงศ์ อายุ 27 ปี ทั้งหมดเป็นนักศึกษาผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงทรัพย์ พร้อมนายอภิชาติ จรสาย ทนายความ ได้เข้ารับฟังการสั่งคดีจากพนักงานอัยการ ซึ่งอัยการมีความเห็นให้สั่งฟ้อง จากนั้นได้นำตัวมายื่นฟ้องเป็นจำเลยที่ 1-4 ต่อศาลอาญา ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยอาศัยความอ่อนแอทางจิตของเจ้าของทรัพย์สิน ตามคำฟ้องระบุความผิดพวกจำเลยว่า

เมื่อระหว่างเดือน ต.ค.49 ถึง เดือน พ.ย.50 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน นายแพทย์ประกิตเผ่า ทมชิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง “แอพพลายด์ ฟิสิกส์” ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีความอ่อนแอทางจิต มีความผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจ เป็นโรคจิตอารมณ์แปรปรวน หลงผิดแยกไม่ได้ว่าข้อมูลใดเป็นจริง ขาดความยั้งชั่งใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนอื่นชักจูง จึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงและการสร้างสถานการณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยเข้าใจว่าตนเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จญาณขั้นสูง สามารถระลึกชาติได้ ถอดจิตได้ มีอำนาจที่บุคคลธรรมดาไม่สามรถทำได้ และยังเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีความสามารถนั่งสมาธิจนสามารถเข้าสู่ฌานและสามารถระลึกชาติได้เช่นกัน

จากนั้นพวกจำเลยได้ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้งหลายหน โดยร่วมกันสร้างสถานการณ์และหลอกลวงจนเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 เคยเป็นภรรยาผู้เสียหายที่ 1 เมื่อ 99 ภพ ชาติที่ผ่านมา มีหนี้กรรมต้องชดใช้กันในชาตินี้ โดยผู้เสียหายที่ 1 เป็นขุนศึกเคยมีม้าชื่อ “นิลพยัคฆ์” และ “นิลมังกร” ในชาตินี้ จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีดำ มูลค่า 1,569,000 บาท รวมทั้งเงินสด 980,000 บาท เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ สห-9999 ให้แก่จำเลยที่ 1

นอกจากนี้ พวกจำเลยยังได้หลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ได้ถูกนางอลิสา ทมชิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของผู้เสียหายที่ 1 ฆ่าตายทุกภพชาติ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายที่ 2 มาฆ่าจำเลยที่ 1 อีกในชาตินี้ จึงให้ผู้เสียหายที่ 1 เช่าพระเครื่องล้อมกรอบทองคำ 15 องค์ และล้อมกรอบสเตนเลส จำนวน 10 องค์ รวมเป็นเงิน 500,000 บาท มอบให้แก่จำเลยที่ 1

ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้หลอกผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ระลึกชาติเห็น ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นขุนศึกสมัยกรุงศรีอยุธยา กวาดต้อนจำเลยที่ 1 อยู่ด้วยเป็นเหตุให้กำไลข้อมือสูญหายไป จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน มูลค่า 245,000 บาท มาคืนให้แทนกำไล

อีกทั้งจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ระลึกชาติได้เห็น ผู้เสียหายที่ 1 เคยมอบแหวนไว้ให้จำเลยที่ 1 มาก่อน จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อแหวนเพชรมูลค่า 145,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 อีกและพวกจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่านางอลิสา ผู้เสียหายที่ 2 จะทำร้ายจึงขอปืนพกไว้ป้องกันตัว ผู้เสียหายที่ 1 จึงมอบปืนพก 3 กระบอก มูลค่า 200,000 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ให้พวกจำเลยไป

อัยการโจทก์ยังระบุฟ้องด้วยว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ทำนองว่า นางอลิสา ผู้เสียหายที่ 2 จะมาทำร้าย ต้องหาที่อยู่อาศัย เหมาะที่จะพบกันเพื่อนั่งสมาธิและหลบภัยผู้เสียหายที่ 1 จึงไปเช่าคอนโดมิเนียม 2 ห้อง มูลค่า 410,000 บาท ให้แก่พวกจำเลย ต่อมาจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่า เคยวางเพลิงเผาบ้านของจำเลยที่ 1 เมื่อชาติภพก่อน ต้องชดใช้หนี้กรรมด้วยการซื้อบ้านหลังใหม่ให้ ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อ จึงนำเงินจำนวน 250,000 บาทไปวางมัดจำเพื่อซื้อบ้านในหมู่บ้านปริญญาดา แขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม. ให้แก่จำเลย

โดยพวกจำเลยได้หลอกผู้เสียหายที่1 ว่า นางอลิสา ผู้เสียหายที่ 2 ใช้ไสยศาสตร์ทำคุณไสยใส่จำเลยที่ 1, 3 และ 4 จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อสร้อยคอและพระเครื่องพร้อมกรอบทอง 10 องค์ เบี้ยแก้คุณไสย รวมเป็นเงิน 140,000 บาท ให้แก่พวกจำเลยเพื่อใช้ป้องกันอันตราย

ท้ายคำฟ้องอัยการยังระบุถึงพฤติการณ์ด้วยว่า จำเลยทั้งสี่ยังร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย ต้องการย้ายคณะ เพราะถูกบุคคลระดับสูง ข่มเหงลวนลาม จำเป็นต้องใช้เงินจำนวน 500,000 บาท ในการวิ่งเต้นโยกย้ายคณะ ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อจึงมอบเงินให้แก่พวกจำเลยไป และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 ทำนองว่า เป็นขุนศึกคุมทหารยกทัพมาเผ่าบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วปล้นเอาเงินของจำเลยที่ 1 และครอบครัว เทียบกับค่าเงินในปัจจุบันจำนวนกว่า 5 ล้านบาท ผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อจึงนำเงินของของตน และเงินของนางอลิสา และ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 2-3 จำนวน 4,586,287 บาท เพื่อชดใช้หนี้กรรมให้แก่พวกจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตรวมทั้งสิ้น 9,658,000 บาท

เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน แขวงและเขตพญาไท กทม.และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 16 ต.ค. 50 พนักงานสอบสวนกองปราบแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

ศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีดำที่ อ.4543/50 และสอบคำให้การ ซึ่งจำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดแถลงเปิดคดีวันที่ 25 ก.พ.ศกหน้า เวลา 09.00 น.

ทั้งนี้ น.ส.เปมิกาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระหว่างเดินทางมาศาลอาญาว่า รู้สึกสบายใจมากขึ้นกับเรื่องนี้ และยังคงให้การปฏิเสธกับข้อหาที่เกิดขึ้น และครั้งนี้ก็ถือว่าจะได้เป็นโอกาสที่ตนได้พิสูจน์ตนเองเพราะเรื่องทุกอย่างจะชัดเจนมากขึ้น อย่างเช่นทุกครั้งที่มีการไกล่เกลี่ยกันตนก็ได้ให้ความร่วมมือกับศาลมาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ หลังจากนี้ก็จะขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อไป และอยากให้บทสรุปเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์โดยเฉพาะกับผู้หญิงด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันนี้เกิดเหตุขลุกขลักนิดหน่อยในการยื่นคดีฟ้องต่อศาลเนื่องจาก พนักงานอัยการต้องแก้ไขคำฟ้องในส่วนของ น.ส.เปมิกา ที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น “สิริรัษสิริ เหลืองเรณูกุล”

ภายหลัง ญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินใน กรุงเทพมหานครและจังหวัดอุตรดิตถ์ มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาทขอประกันตัว โดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 4 ออกไปโดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท



กำลังโหลดความคิดเห็น