ไกล่เกลี่ยแบ่งมรดก “ตระกูลพลางกูร” ไม่คืบ ฝ่าย “คุณยาย” เบี้ยวมาศาลอ้างหนีนักข่าว “หลานสาว” สุดทนขอสู้เพื่อแม่ นำคดีขึ้นสู่ศาล นัดพร้อมคู่ความ 18 ธ.ค.50 นี้ ด้าน “หลานชาย” เผยชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ยายไม่เคยดูแลหลังพ่อแม่เสียชีวิตในอุบัติเหตุ ปล่อยพี่เลี้ยงทุบตีจนแทบทนไม่ไหว
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยชั้น 6 ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลนัดไกล่เกลี่ย ในคดีที่ น.ส. ธิติมา เลขะวณิช (ป้า) ผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.วินิตา เลขะวณิช อายุ 23 ปี เป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรัชต์ พลางกูร, น.ส.พิมพ์ชนก พลางกูร, นางวิศาขา พลางกูร หรือ ทินกร ณ อยุธยา, นายศักรรินทน์ พลางกูร, น.ส.ดัชกรนี พลางกูร หรือ นางดัชนีกร ไตรวิทยาคุณ, นางอัชรี ดันธุวนิตย์, นางเฉลิมศรี ชาญด้วยกิจ และ นายบดินทร์ พลางกูร เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ให้จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชน โดยประการที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย, ร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจร จากกรณีที่ จำเลยทั้ง 8 ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ในการโอนหุ้นบริษัทพัฒนาภูดอย (1995) จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บาลังคิวลา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด) ซึ่ง น.ส.วินิตา โจทก์ ในฐานะทายาท ของ นายวราวุธ เลขะวณิช และ นางต้องใจ เลขะวณิช (บิดามารดา) ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถแก๊สระเบิดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 33 ไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด
โดยในวันนี้มีเพียง น.ส.ธิติมา, น.ส.วินิตา และ นายวราชัย น้องชายของ น.ส.วินิตา เดินทางมาศาลขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่ได้เดินทางมาศาลแต่อย่างใด ส่งเพียง นายสุดเขต กุลสารภูษิต ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เข้าร่วมไกล่เกลี่ยแทน ซึ่งปรากฏว่า ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถเจรจากันได้ ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 18 ธ.ค.2550 เวลา 09.00 น.
ภายหลัง น.ส.วินิตา กล่าวว่า หลังจากมีคดีฟ้องร้องกัน ตนและน้องชายพยายามติดต่อไปยังคุณยาย หลายครั้งแต่ไม่มีการตอบรับ ทั้งที่จริงๆ แล้วตนไม่อยากให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะว่าเราต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ที่ผ่านมา ดิฉันและน้องชายได้รับการดูแลจากคุณป้า เป็นอย่างดี ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินแต่อย่างใด เพราะคุณป้าทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว การฟ้องร้องไม่ได้ต้องการเงิน แต่เราสองพี่น้องต้องการทวงสิทธิที่คุณแม่ควรได้รับกลับคืนมา ส่วนเรื่องการฟ้องร้องคดีต่างๆ อีก 8 คดีนั้น คนภายนอกอาจจะเข้าใจว่าดิฉันขัดแย้งกับคุณยายเพียงคนเดียว แต่จริงๆ แล้วได้ฟ้องร้องญาติคนอื่นด้วย ส่วนเรื่องการไกล่เกลี่ยเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ดิฉันคิดว่าคงไม่ขอไกล่เกลี่ยอีกแล้ว จากนี้ให้ศาลเป็นผู้นำคดีเข้าสู่กระบวนการและพิจารณาตัดสินต่อไป” น.ส.วินิตา กล่าว
ด้าน นายวราชัย กล่าวว่า ยังจำได้สมัยที่ตน และพี่สาวยังเป็นเด็กหลังจากบิดามารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรี เมื่อปี 2533 ทำให้ต้องมาอาศัยอยู่กับคุณยาย ตนและพี่สาวไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับหลานคนอื่น คุณยายได้ปล่อยให้อยู่กับพี่เลี้ยงเด็ก ทำให้ตนและพี่สาวถูกพี่เลี้ยงกลั่นแกล้งใช้ไม้แขวนเสื้อตีมาหลายครั้ง จนทนไม่ได้ต้องขอให้คุณป้าเข้ามารับไปอุปการะ จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของตนและพี่สาวดีขึ้น นอกจากนี้ ก่อนที่พี่สาวจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ได้เข้าไปขอเงินค่าเช่าตึกของบิดาที่ฝากให้คุณยายดูแลตลอดเวลากว่า 10 ปี ภายหลังบิดาที่เสียชีวิต โดยยอดเงินค่าเช่าน่าจะมากกว่า 10 ล้านบาท แต่คุณยายกลับให้คืนมาเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่ นายทองมั่น เพิกเฉย ทนายความโจทก์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีภายในครอบครัวจึงต้องการจะให้คดีทั้งหมดยุติลงด้วยดี ทางทนายความทั้งสองฝ่ายต่างพยายามที่จะหารือกันเพื่อหาทางออก โดยในวันนี้ฝ่ายจำเลยบางคนได้เดินทางมาที่ศาลเพื่อเข้าร่วมกันไกล่เกลี่ย แต่เมื่อฝ่ายทนายจำเลยแจ้งว่ามีผู้สื่อข่าวรอติดตามทำข่าวอยู่จำนวนมาก ทั้งหมดจึงเดินทางกลับไป
ด้าน นายสุดเขต กุลสารภูษิต ทนายฝ่ายจำเลย กล่าวว่า แม้ว่านัดนี้จำเลยทั้ง 8 คน จะไม่ได้เดินทางมาศาล แต่จากการเจรจาระหว่างทนายความทั้งสองฝ่าย เห็นว่าสามารถที่จะเจรจาตกลงกันได้ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงพยายามหาข้อยุติให้ดีที่สุด ต่อไปหากมีการเจรจากันอีกเชื่อว่าน่าจะสามารถตกลงกันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคดีนี้แล้ว น.ส.วินิตา ยังได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีกับเครือญาติตระกูล พลางกูร อีกรวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยคดีหลักเป็นคดีที่ น.ส.วินิตา ฟ้อง นางสมลักษณ์ พลางกูร ผู้เป็นยาย เพื่อขอแบ่งมรดกจำนวน 4,000 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวศาลแพ่งกรุงเทพใต้นัดพร้อมคู่ความในวันที่ 18 ก.พ.2551 เวลา 09.00 น.
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยชั้น 6 ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลนัดไกล่เกลี่ย ในคดีที่ น.ส. ธิติมา เลขะวณิช (ป้า) ผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.วินิตา เลขะวณิช อายุ 23 ปี เป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรัชต์ พลางกูร, น.ส.พิมพ์ชนก พลางกูร, นางวิศาขา พลางกูร หรือ ทินกร ณ อยุธยา, นายศักรรินทน์ พลางกูร, น.ส.ดัชกรนี พลางกูร หรือ นางดัชนีกร ไตรวิทยาคุณ, นางอัชรี ดันธุวนิตย์, นางเฉลิมศรี ชาญด้วยกิจ และ นายบดินทร์ พลางกูร เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ให้จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารมหาชน โดยประการที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย, ร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจร จากกรณีที่ จำเลยทั้ง 8 ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ในการโอนหุ้นบริษัทพัฒนาภูดอย (1995) จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บาลังคิวลา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด) ซึ่ง น.ส.วินิตา โจทก์ ในฐานะทายาท ของ นายวราวุธ เลขะวณิช และ นางต้องใจ เลขะวณิช (บิดามารดา) ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถแก๊สระเบิดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 33 ไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด
โดยในวันนี้มีเพียง น.ส.ธิติมา, น.ส.วินิตา และ นายวราชัย น้องชายของ น.ส.วินิตา เดินทางมาศาลขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่ได้เดินทางมาศาลแต่อย่างใด ส่งเพียง นายสุดเขต กุลสารภูษิต ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เข้าร่วมไกล่เกลี่ยแทน ซึ่งปรากฏว่า ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถเจรจากันได้ ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 18 ธ.ค.2550 เวลา 09.00 น.
ภายหลัง น.ส.วินิตา กล่าวว่า หลังจากมีคดีฟ้องร้องกัน ตนและน้องชายพยายามติดต่อไปยังคุณยาย หลายครั้งแต่ไม่มีการตอบรับ ทั้งที่จริงๆ แล้วตนไม่อยากให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะว่าเราต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ที่ผ่านมา ดิฉันและน้องชายได้รับการดูแลจากคุณป้า เป็นอย่างดี ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินแต่อย่างใด เพราะคุณป้าทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว การฟ้องร้องไม่ได้ต้องการเงิน แต่เราสองพี่น้องต้องการทวงสิทธิที่คุณแม่ควรได้รับกลับคืนมา ส่วนเรื่องการฟ้องร้องคดีต่างๆ อีก 8 คดีนั้น คนภายนอกอาจจะเข้าใจว่าดิฉันขัดแย้งกับคุณยายเพียงคนเดียว แต่จริงๆ แล้วได้ฟ้องร้องญาติคนอื่นด้วย ส่วนเรื่องการไกล่เกลี่ยเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ดิฉันคิดว่าคงไม่ขอไกล่เกลี่ยอีกแล้ว จากนี้ให้ศาลเป็นผู้นำคดีเข้าสู่กระบวนการและพิจารณาตัดสินต่อไป” น.ส.วินิตา กล่าว
ด้าน นายวราชัย กล่าวว่า ยังจำได้สมัยที่ตน และพี่สาวยังเป็นเด็กหลังจากบิดามารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรี เมื่อปี 2533 ทำให้ต้องมาอาศัยอยู่กับคุณยาย ตนและพี่สาวไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับหลานคนอื่น คุณยายได้ปล่อยให้อยู่กับพี่เลี้ยงเด็ก ทำให้ตนและพี่สาวถูกพี่เลี้ยงกลั่นแกล้งใช้ไม้แขวนเสื้อตีมาหลายครั้ง จนทนไม่ได้ต้องขอให้คุณป้าเข้ามารับไปอุปการะ จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของตนและพี่สาวดีขึ้น นอกจากนี้ ก่อนที่พี่สาวจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ได้เข้าไปขอเงินค่าเช่าตึกของบิดาที่ฝากให้คุณยายดูแลตลอดเวลากว่า 10 ปี ภายหลังบิดาที่เสียชีวิต โดยยอดเงินค่าเช่าน่าจะมากกว่า 10 ล้านบาท แต่คุณยายกลับให้คืนมาเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่ นายทองมั่น เพิกเฉย ทนายความโจทก์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีภายในครอบครัวจึงต้องการจะให้คดีทั้งหมดยุติลงด้วยดี ทางทนายความทั้งสองฝ่ายต่างพยายามที่จะหารือกันเพื่อหาทางออก โดยในวันนี้ฝ่ายจำเลยบางคนได้เดินทางมาที่ศาลเพื่อเข้าร่วมกันไกล่เกลี่ย แต่เมื่อฝ่ายทนายจำเลยแจ้งว่ามีผู้สื่อข่าวรอติดตามทำข่าวอยู่จำนวนมาก ทั้งหมดจึงเดินทางกลับไป
ด้าน นายสุดเขต กุลสารภูษิต ทนายฝ่ายจำเลย กล่าวว่า แม้ว่านัดนี้จำเลยทั้ง 8 คน จะไม่ได้เดินทางมาศาล แต่จากการเจรจาระหว่างทนายความทั้งสองฝ่าย เห็นว่าสามารถที่จะเจรจาตกลงกันได้ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงพยายามหาข้อยุติให้ดีที่สุด ต่อไปหากมีการเจรจากันอีกเชื่อว่าน่าจะสามารถตกลงกันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคดีนี้แล้ว น.ส.วินิตา ยังได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีกับเครือญาติตระกูล พลางกูร อีกรวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยคดีหลักเป็นคดีที่ น.ส.วินิตา ฟ้อง นางสมลักษณ์ พลางกูร ผู้เป็นยาย เพื่อขอแบ่งมรดกจำนวน 4,000 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวศาลแพ่งกรุงเทพใต้นัดพร้อมคู่ความในวันที่ 18 ก.พ.2551 เวลา 09.00 น.
