บก.จร.สรุปโครงการเตือนก่อนขับ 20 วัน จับร่วมหมื่นราย พบฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรมากสุด รองลงมาไม่พกใบขับขี่ พร้อมเตือนรถตู้โดยสารห้ามติดผ้าม่านที่ติดแล้วให้เอาออก แม้อ้างว่ากันร้อนก็ไม่ปรานี จับได้ปรับสถานหนักถึง 50,000 บาท ในขณะที่รถตู้ทั่วไปก็ไม่เว้น แต่ปรับเบาแค่ 500 บาท
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานด้านการจราจร ประชุมร่วมตำรวจจราจร บก.น.1-9 บก.จร. และรอง ผกก.จร. และ สว.จร.ในสังกัด บช.น.เพื่อกำชับแนวทางปฏิบัติในการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และมาตรการลดอุบัติเหตุ
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการสรุปโครงการเตือนก่อนจับ เพื่อเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตำรวจจราจร จากผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด มาเป็นการอำนวยความสะดวกและให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชานเพื่อเป็นการกวดขันวินัยจราจรของผู้ขับขี่ในเขต กทม. โดยสรุปผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 11-31 ตุลาคม มีผลการจับกุมตักเตือนทั้งสิ้น 9,820 ราย โดยข้อหาที่ตักเตือนอันดับ1 คือ ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร อันดับ 2 ไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่ติดตัว อันดับ 3 ขับขี่รถอุปกรณ์ส่วนควบไม่สมบูรณ์ และอันดับ 4 ไม่นำสำเนาทะเบียนรถติดตัว นอกนั้นเป็นข้อหาทั่วๆ ไปเช่น ใช้แผ่นป้ายทะเบียนชำรุด ใช้รถไม่ตรงตามที่จดทะเบียนไว้ ดัดแปลงสภาพรถโดยไม่แจ้งนายทะเบียนทราบ
รอง ผบช.น.ยังกล่าวต่อว่า นอกจากนี้จากเหตุการณ์คนขับรถตู้จับตัวเด็กนักเรียนชั้น ม.2 จำนวน 8 คน ที่ อ.เมือง จ.เลย เมื่อวันที่ 8 มี.ค.50 ที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้ใดทราบเนื่องจากรถตู้คันดังกล่าวติดผ้าม่าน และรถตู้โดยสารใน กทม.ส่วนใหญ่จะติดผ้าม่าน โดยมีการอ้างว่าเพื่อป้องกันความร้อน แต่ตามกฎหมาย รถตู้ป้ายเหลือง เป็นรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ตาม พรบ. ขนส่งทางบก 2522 ว่า กระจกกันลมหลังของรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารมาตรฐาน 2 (จ) ที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 12 ที่นั่ง และมาตรฐาน 3 (ฉ) ห้ามมิให้นำวัสดุอื่นใดมาติดหรือบังส่วนหนึ่งส่วนใดของกระจก เว้นแต่เป็นการติดฟิล์มกรองแสง ซึ่งเมื่อวัดการผ่านของแสงแล้ว แสงต้องผ่านทั้งกระจกและฟิล์มกรองแสงได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 และ ข้อ 2 บานหน้าต่างของรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร มาตรฐาน 2 (จ) ที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 12 ที่นั่ง และมาตรฐาน 3 (ฉ) ถ้าทำด้วยวัสดุโปร่งแสง ห้ามมิให้นำวัสดุอื่นใดมาติดหรือบังส่วนหนึ่งส่วนใดของวัสดุโปร่งแสงนั้น เว้นแต่เป็นการติดฟิล์มกรองแสง ซึ่งเมื่อวัดการผ่านของแสงแล้วแสงต้องผ่านทั้งวัสดุโปร่งแสงและฟิล์มกรองแสงได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40
“ดังนั้น การที่รถตู้ป้ายเหลืองที่พบเห็นวิ่งรับ ส่งผู้โดยสารบนท้องถนนทั่วไป หากมีการนำม่านมาติดด้านข้างหรือด้านหลังรถ แม้จะอ้างว่าเพื่อป้องกันความร้อนหรือแสงแดดให้กับผู้โดยสารหรือจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เป็นการนำวัสดุอื่นใดมาติดหรือบังส่วนหนึ่งส่วนใดหน้าต่างของรถหรือกระจกกันลมหลังของรถ จึงเป็นการมีเครื่องอุปกรณ์และส่วนควบไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายไม่สามารถกระทำได้ ผู้ฝ่าฝืนย่อมมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และนอกจากผู้ขับขี่จะมีความผิดแล้วกฎหมายยังบังคับไปถึงประกอบการขนส่งอีกด้วย” พล.ต.ต.ภาณุ กล่าว
รอง ผบช.น.กล่าวต่ออีกว่า รถตู้ป้ายเหลืองที่ติดตั้งผ้าม่านที่กระจกด้านหลังและด้านข้าง ทำให้บดบังทัศนวิสัยในการมองของผู้ขับขี่ มีโทษตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบกมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท ให้รีบเอาออก เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเริ่มกวดขันจับกุม เพื่อเป็นการป้องกันอาชญากรรมและป้องกันอุติเหตุที่จะตามมา ส่วนรถตู้ทั่วไปที่ติดตั้งก็มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 ม.124 มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานด้านการจราจร ประชุมร่วมตำรวจจราจร บก.น.1-9 บก.จร. และรอง ผกก.จร. และ สว.จร.ในสังกัด บช.น.เพื่อกำชับแนวทางปฏิบัติในการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และมาตรการลดอุบัติเหตุ
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการสรุปโครงการเตือนก่อนจับ เพื่อเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตำรวจจราจร จากผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด มาเป็นการอำนวยความสะดวกและให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชานเพื่อเป็นการกวดขันวินัยจราจรของผู้ขับขี่ในเขต กทม. โดยสรุปผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 11-31 ตุลาคม มีผลการจับกุมตักเตือนทั้งสิ้น 9,820 ราย โดยข้อหาที่ตักเตือนอันดับ1 คือ ฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร อันดับ 2 ไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่ติดตัว อันดับ 3 ขับขี่รถอุปกรณ์ส่วนควบไม่สมบูรณ์ และอันดับ 4 ไม่นำสำเนาทะเบียนรถติดตัว นอกนั้นเป็นข้อหาทั่วๆ ไปเช่น ใช้แผ่นป้ายทะเบียนชำรุด ใช้รถไม่ตรงตามที่จดทะเบียนไว้ ดัดแปลงสภาพรถโดยไม่แจ้งนายทะเบียนทราบ
รอง ผบช.น.ยังกล่าวต่อว่า นอกจากนี้จากเหตุการณ์คนขับรถตู้จับตัวเด็กนักเรียนชั้น ม.2 จำนวน 8 คน ที่ อ.เมือง จ.เลย เมื่อวันที่ 8 มี.ค.50 ที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้ใดทราบเนื่องจากรถตู้คันดังกล่าวติดผ้าม่าน และรถตู้โดยสารใน กทม.ส่วนใหญ่จะติดผ้าม่าน โดยมีการอ้างว่าเพื่อป้องกันความร้อน แต่ตามกฎหมาย รถตู้ป้ายเหลือง เป็นรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร ตาม พรบ. ขนส่งทางบก 2522 ว่า กระจกกันลมหลังของรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารมาตรฐาน 2 (จ) ที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 12 ที่นั่ง และมาตรฐาน 3 (ฉ) ห้ามมิให้นำวัสดุอื่นใดมาติดหรือบังส่วนหนึ่งส่วนใดของกระจก เว้นแต่เป็นการติดฟิล์มกรองแสง ซึ่งเมื่อวัดการผ่านของแสงแล้ว แสงต้องผ่านทั้งกระจกและฟิล์มกรองแสงได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 และ ข้อ 2 บานหน้าต่างของรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร มาตรฐาน 2 (จ) ที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 12 ที่นั่ง และมาตรฐาน 3 (ฉ) ถ้าทำด้วยวัสดุโปร่งแสง ห้ามมิให้นำวัสดุอื่นใดมาติดหรือบังส่วนหนึ่งส่วนใดของวัสดุโปร่งแสงนั้น เว้นแต่เป็นการติดฟิล์มกรองแสง ซึ่งเมื่อวัดการผ่านของแสงแล้วแสงต้องผ่านทั้งวัสดุโปร่งแสงและฟิล์มกรองแสงได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40
“ดังนั้น การที่รถตู้ป้ายเหลืองที่พบเห็นวิ่งรับ ส่งผู้โดยสารบนท้องถนนทั่วไป หากมีการนำม่านมาติดด้านข้างหรือด้านหลังรถ แม้จะอ้างว่าเพื่อป้องกันความร้อนหรือแสงแดดให้กับผู้โดยสารหรือจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เป็นการนำวัสดุอื่นใดมาติดหรือบังส่วนหนึ่งส่วนใดหน้าต่างของรถหรือกระจกกันลมหลังของรถ จึงเป็นการมีเครื่องอุปกรณ์และส่วนควบไม่ถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายไม่สามารถกระทำได้ ผู้ฝ่าฝืนย่อมมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และนอกจากผู้ขับขี่จะมีความผิดแล้วกฎหมายยังบังคับไปถึงประกอบการขนส่งอีกด้วย” พล.ต.ต.ภาณุ กล่าว
รอง ผบช.น.กล่าวต่ออีกว่า รถตู้ป้ายเหลืองที่ติดตั้งผ้าม่านที่กระจกด้านหลังและด้านข้าง ทำให้บดบังทัศนวิสัยในการมองของผู้ขับขี่ มีโทษตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบกมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท ให้รีบเอาออก เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเริ่มกวดขันจับกุม เพื่อเป็นการป้องกันอาชญากรรมและป้องกันอุติเหตุที่จะตามมา ส่วนรถตู้ทั่วไปที่ติดตั้งก็มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 ม.124 มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
