xs
xsm
sm
md
lg

ปิดตำนาน “ผู้พันตึ๋ง” จุดจบ “ทหารนอกรีต”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ตามดูคดีดังสัปดาห์นี้ จะพาท่านผู้อ่านกลับไปติดตามคดีสะเทือนขวัญ ซึ่งถือว่าติดอันดับชาร์ตโหวตตลอดการของวงการข่าวอาชญากรรม “คดีฆาตกรรมโหดนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์” ซึ่งเหยื่อเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร แต่กลุ่มฆาตกรก็ยังกล้าลั่นกระสุนสังหารซ้ำด้วยการเชือดคอจนกลายเป็นศพอยู่ในห้องพักโรงแรมรอยัล แปซิฟิค พลาซ่า ริมพระราม 9

จุดเริ่มของคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 4 มี.ค.2544 และกลายเป็นคดีคึกโครมที่สุดในขณะนั้น เมื่อข้าราชการระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องมาจบชีวิตด้วยเหตุฆาตกรรมอย่างน่าอนาถ ขณะเดินทางมาเพื่อร่วมประชุมรับมอบนโยบายของรัฐบาลร่วมกับข้าราชการระดับสูงทุกกระทรวง

ในเบื้องต้น ตำรวจตั้งปมสังหารว่าอาจเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์ แต่ยังไม่ทิ้งประเด็นขัดแย้งโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียที่จังหวัดยโสธร นอกจากนี้ยังมีปมโยงไปถึง พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือ “ผู้พันตึ๋ง” นายทหารคนดังผู้กว้างขวางกับลูกน้องว่าเป็นกลุ่มฆาตกรที่รับงานมาฆ่าแต่ยังขาดพยานหลักฐาน จนเมื่อ นางอัญคนางค์ หรือน้อย สุนทรวิภาค คนใกล้ชิดของนายปรีณะเข้ามามอบตัวอ้างว่าเป็นคนสังหาร ก่อนมากลับคำให้การซัดทอดว่า “ผู้พันตึ๋ง” กับสมุนเป็นคนลงมือฆ่า แต่ขู่เธอให้ยอมรับผิด คดีที่มัดเกลียวแน่นจึงเริ่มคลี่คลายลง และนำไปสู่การจับกุม “ผู้พันตึ๋ง” กับลูกน้องในที่สุด ซึ่งคดีนี้นับเป็นคดีลือลั่นที่จุดประกายไปสู่การแก้ไขข้อตกลงร่วมระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับกระทรวงกลาโหม เรื่องการจับกุมและควบคุมตัวทหารที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา

คดีนี้ขึ้นสู่ศาลเมื่อปี 2544 โดยพนักงานอัยการสั่งฟ้องจำเลย รวม 4 คน ประกอบด้วย น.ส.อัญคนางค์ สุนทรวิภาค, พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือ “ผู้พันตึ๋ง”, ส.อ.มานิตย์ ศรีสะอาด และ ส.อ.สุวัฒน์ คำเหง้า สองลูกน้องคนสนิทเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อน

ในชั้นการพิจารณาคดี อัยการโจทก์มีพยานเป็นพนักงานโรงแรมนำสืบว่าพวกจำเลยเข้ามาเปิดห้องพักโดยใช้ชื่อปลอม นอกจากนี้ยังนำสืบจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่พบคราบเลือดบริเวณก๊อกน้ำห้องพักของจำเลยตรงกับคราบเลือดของศพ และคราบเลือดที่รองเท้าผ้าใบของจำเลยที่ 3 และที่แป้นเบรกของรถยนต์อีซูซุ ทรูเปอร์ ทะเบียน 3965 เชียงใหม่ ของจำเลยที่ 1

นอกจากนี้ ตำรวจยังพบแผนผังห้องพักภายในโรงแรมที่เป็นลายมือของจำเลยที่ 1 ซึ่งคาดว่าเป็นการวางแผนก่อนฆาตกรรมนายปรีณะ อีกทั้ง น.ส.อังคนางค์ ยังให้การยืนยันว่าจำเลยทั้ง 3 ได้บุกเข้ามาในห้องขณะที่เธอเข้ามาพบผู้ตายเพื่อเคลียปัญหา และสั่งให้เธอนั่งก้มหน้า พร้อมขู่ฆ่าหากไม่ปิดปากให้สนิท ทำให้เธอเห็นเพียงเพียงปลายเท้าของผู้ตาย ที่ถูกพวกจำเลยจับนอนคว่ำหน้ากับพื้น หลังจากนั้นหนึ่งในพวกจำเลยได้หยิบมีดในกระเป๋าถือของเธอมาเชือดคอผู้ตายหลายครั้ง ก่อนที่จะใช้ปืนยิงซ้ำที่ศีรษะ

ฝ่ายจำเลยเบิกความต่อสู้ว่าไม่ได้ฆ่าผู้ตาย การที่เข้าพักที่โรงแรมโดยใช้ชื่อปลอม เพราะต้องการหนีจากการตามราวีของนางแสงเดือน ภรรยาหลวง ส่วนแผนผังโรงแรมที่เขียนนั้น ก็เขียนภายหลังเกิดเหตุเพื่อรายงานต่อผู้บังคับบัญชาถึงสถานการณ์ยาเสพติด ซึ่งจำเลยได้สืบทราบมาว่า บังรอน นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่หลบหนีการติดตามจับกุมของทางการได้แอบเข้าพบกับภรรยาของ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบ.ตร.(ในขณะนั้น) โดยจำเลยเตรียมทำรายงานถึงผู้บังคับบัญชา แต่ก็ทราบว่า พล.ต.อ.พรศักดิ์ เกิดความไม่พอใจและโกรธแค้น จนอาจเป็นเหตุให้จำเลยถูกกลั่นแกล้ง ส่วนคราบเลือดที่พบบริเวณก๊อกน้ำห้องพักจำเลยอาจเป็นเพราะพนักงานโรงแรมเข้ามาล้างมือหลังจากทำความสะอาดห้องพักผู้ตายก็เป็นได้ หรือหากจำเลยถูกกลั่นแกล้ง ตำรวจก็สามารถนำคราบเลือดมาเปื้อนที่บริเวณอ่างน้ำในห้องจำเลยได้เช่นกัน ส่วนคราบเลือดที่แป้นเบรกรถยนต์ของจำเลยนั้นก็เพราะจำเลยที่ 3 ไปเตะสุนัขมาและอาจมาทำให้เปื้อนที่แป้นเบรกได้

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า คดีฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า นายปรีณะถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม โดยมีคนร้ายจู่โจมเข้าไปในห้องพักแล้วใช้มีดแทงผู้ตายหลายครั้ง และใช้ปืนของ น.ส.อังคนางค์ จ่อยิงที่ศีรษะผู้ตาย หลังจากนั้นคนร้ายจับผู้ตายนอนคว่ำตะแคงซ้ายเพื่ออำพรางการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช อีกทั้งจำเลยทั้ง 3 เป็นทหารสามารถสืบทราบได้ว่าผู้ตายจะมาพักในวันใด เวลาใด จำเลยจึงมาพักยังห้องใกล้เคียง ประกอบกับจากการนำสืบพยานมีน้ำหนักเชื่อได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้ง 3 อยู่ในห้องใกล้ที่เกิดเหตุ และคำให้การชั้นสอบสวนของ น.ส.อังคนางค์ ซึ่งแม้จะเป็นจำเลยร่วม แต่ก็รับฟังได้โดยมีน้ำหนักเพียงพอว่าจำเลยทั้ง 3 เป็นคนร้ายจริง ข้ออ้างของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษ จำคุก น.ส.อัญคนางค์ 3 ปี 8 เดือน ฐานรับของโจรและพกพาอาวุธปืน ในขณะที่ “ผู้พันตึ๋ง” ถูกสั่งประหารฐานร่วมฆ่า ส่วนลูกน้องคนสนิทอีก 2 คนศาลยกฟ้อง

ในชั้นอุทธรณ์ศาลเห็นตามกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนของ น.ส.อัญคนางค์ และผู้พันตึ๋ง แต่พิพากษาแก้ให้ประหารสมุนของผู้พันตึ๋งด้วยในข้อหาร่วมฆ่า ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2549 ยืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน ซึ่งถือเป็นการปิดตำนานนายทหารผู้กว้างขวางในวงการนักเลงอย่าง “ผู้พันตึ๋ง”

สำหรับประวัติชีวิตของ “ผู้พันตึ๋ง” เกิดเมื่อวันที่ 2 ส.ค.2496 จบการศึกษาระดับ ปวส.ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ โดยระหว่างที่เป็นนักเรียนอาชีวะ เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมือง 14 ต.ค.2516 ผู้พันตึ๋งถูก พล.ต.สุตสาย หัสดิน ชักนำเข้าสู่กลุ่ม “กระทิงแดง” เพื่อต่อต้านและคอยปั่นป่วนยุยงกลุ่มพลังนิสิตนักศึกษาในขณะนั้น ซึ่งผู้พันตึ๋งก็ไม่ทำให้ พล.ต.สุตสายผิดหวัง หลังเสร็จสิ้นภารกิจในคราวนั้นจึงได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. จนสอบบรรจุได้เป็นทหารได้ ติดยศว่าที่ร้อยตรี ประจำ ศรภ. หรือศูนย์รักษาความปลอดภัยกองบัญชาการทหารสูงสุด จากนั้นรับราชการเรื่อยมาจนได้เลื่อนยศเป็นพันตรี เมื่อปี 2531 และตั้งแต่นั้นมาชื่อ “ผู้พันตึ๋ง” ก็ปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์หน้า 1 เป็นประจำที่มีข่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในวงการนักเลง-มาเฟีย-ผู้มีอิทธิพล! ซึ่งเส้นทางสายนักเลงที่ “ผู้พันตึ๋ง” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นที่รู้กันว่านายพันผู้นี้ไม่ได้เดินอย่างโดดเดี่ยว แต่มีระดับ “บิ๊ก” หนุนหลัง จนเชื่อกันว่า “ผู้พันตึ๋ง” หลงและเหลิงไปกับอำนาจวาสนาที่ได้รับ โดยไม่เกรงกลัวแม้กระทั่ง “กฎหมาย”

ย้อนกลับมาดูชีวิต “ผู้พันตึ๋ง” ในปัจจุบัน “นายวันชัย รุจนวงศ์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า หลังจาก “ผู้พันตึ๋ง” ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของนักโทษประหารในการยื่นถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษไปเกือบ 1 ปีแล้ว จนถึงขณะนี้ยังไม่มีฎีกากลับลงมาแต่อย่างใด ดังนั้น “ผู้พันตึ๋ง” จึงยังคงถูกควบคุมตัวไว้ยังแดนประหารของเรือนจำกลางบางขวาง เพื่อรอวันที่ฎีกากลับมา อย่างไรก็ดี สำหรับนักโทษประหารทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่นักโทษที่ยื่นถวายฎีกานั้นจะได้รับการลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต

“ตำนานผู้พันตึ๋ง” ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนายทหารรุ่นหลังที่กำลังเอาเวลาราชการไปรับงานนอกรีต แต่บทสรุปสุดท้าย “ผู้พันตึ๋ง” จะมีจุดจบอย่างไร จะต้องตายบนแท่นประหาร หรือดักดานอยู่ในคุกไปตลอดชีวิต นั่นก็เป็นจุดจบที่สาสมแล้วกับเพราะผลกรรมที่เค้าได้ทำเอาไว้




กำลังโหลดความคิดเห็น