“พงศพัศ” สวมบทท้าวมาลีวราชแห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำการไกล่เกลี่ยผู้ปกครองของเด็กนักเรียนโรงเรียนสารวิทยา และฝ่ายคณะครูสำเร็จ ทุกฝ่ายต่างยอมความซึ่งกันและกัน พร้อมขอโทษขอโพย ยุติเรื่องอื้อฉาวที่ส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย ด้าน ผอ.โรงเรียนยันไม่มีมาเฟียนักเรียนในโรงเรียน
วันนี้ (22 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่โรงเรียนสารวิทยา พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.พัลลภ สุวรรณบัตร รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.พัฒนา เพศยนาวิน ผกก.สน.บางเขน เดินทางมาร่วมไกล่เกลี่ยเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันของนักเรียนโรงเรียนสารวิทยา จนผู้ปกครองและครูต่างเข้าแจ้งความดำเนินคดีกันและกันที่ สน.บางเขน รวม 4 คดี
พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวก่อนจะเข้าร่วมประชุมกับทุกฝ่ายว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่ฝ่ายตำรวจ ผอ.โรงเรียน และฝ่ายผู้ปกครองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมดได้มาเจอกันและมีข้อสรุปร่วมกันทั้ง 4 คดี ภายในวันนี้ โดยเฉพาะ พ.อ.ศักดิ์ชัย คำคงศักดิ์ ก็ได้แสดงเจตจำนงที่จะถอนแจ้งความและไม่เอาเรื่องทั้งหมด ถึงแม้จะไม่ได้เดินทางมาร่วมเจรจาเพื่อลดการเผชิญหน้า อย่างไรก็ตาม ทาง พ.อ.ศักดิ์ชัยเอง ก็ต้องการให้เรื่องทุกอย่างจบลง เพราะลูกสาวยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้
“ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ซึ่งเป็นเจ้าของคดีทั้ง 4 คดี ได้พยายามที่จะประสานทุกฝ่ายทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอาจารย์ ฝ่ายผู้ปกครอง และอีกหลายส่วนก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นควรจะจบลงได้แล้ว เพราะเป็นเรื่องที่สามารถจบลงได้ เพื่อจะไม่ให้เรื่องนี้กระทบกับสถาบันการศึกษา และทุกคนจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป” โฆษกตำรวจกล่าว
พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวต่อว่า ทางตำรวจในฐานะพนักงานสอบสวนที่รับคดีไว้ 4 คดีได้มีความเห็นตรงกันว่าใน 2 คดีแรกที่เป็นเรื่องของการทำร้ายร่างกายก็จะปรับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อจะทำให้จบลงไป ส่วนเรื่องคดีหมิ่นประมาทนั้น หากคู่กรณีเห็นพ้องต้องกันก็จะทำความเห็นเสนอสั่งไม่ฟ้องไป ซึ่งคาดว่าทั้ง 4 คดีนั้นจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันนี้ โดยทุกฝ่ายจะเดินทางกันมาทำบันทึกข้อตกลงกันที่โรงเรียน
พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวอีกว่า ในส่วนของตำรวจนั้น ไม่ได้มีโรงเรียนนี้โรงเรียนเดียวที่มีเรื่องกัน ซึ่งเรื่องนี้ทาง ผบ.ตร. ได้มีนโยบาย ไว้ไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม หากมีเรื่องราวลักษณะนี้เกิดขึ้น ทางโรงเรียนจะต้องเข้าไปดูแลตั้งแต่แรก หากเรื่องถึงสถานีตำรวจก็ให้นโยบายผู้กำกับทุกสถานีตำรวจที่โรงเรียนนั้นตั้งอยู่จะต้องลงไปไกล่เกลี่ยก่อนจะรับแจ้งความว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ไม่ใช่รับคดี ทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เพราะจะเป็นเรื่องราวที่ยืดเยื้อยาวนาน สร้างความไม่สบายใจให้ทุกฝ่าย
ด้าน นายสรายุทธ ฟูทรัพย์นิรันดร์ ผอ.โรงเรียนสารวิทยา กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นได้จบลงไปแล้ว ทางโรงเรียนได้พูดคุยเพื่อความสมานฉันท์ และลงโทษไปแล้ว ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้น คนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นครู ผู้ปกครอง หรือนักเรียน ทาง พ.อ.ศักดิ์ชัย ซึ่งอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์ทหารบกก็อยู่รั้วติดกัน ทางโรงเรียนให้เกียรติท่าน ฟังท่าน เพื่อความสมานฉันท์กัน เมื่อทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ทางโรงเรียนซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหานั้นก็ไม่ออกมาตอบโต้ ซึ่งที่ผ่านมาทางโรงเรียนได้เจราจาพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย แม้จะยังไม่เรียบร้อยดี แต่ก็คาดว่าจะเรียบร้อยในวันนี้
ต่อข้อถามที่ว่า กรณีที่มีคลิปวิดีโอการรุมทำร้ายแพร่ออกไป และมีการระบุว่าเป็นการกระทำของมาเฟียในโรงเรียนนั้น นายสรายุทธ กล่าวว่า โรงเรียนเป็นบ้านหลังใหญ่ มีลูกหลายคน จำนวนเกือบ 4,000 คน ก็มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับตั้งแก๊งตั้งก๊วน ยืนยันว่ามาเฟียในโรงเรียนไม่มีอย่างเด็ดขาด มีแต่นักเรียน มาเฟียไม่อยู่ในโรงเรียน มาเฟียต้องไปอยู่ที่อื่น ทั้งนี้ โรงเรียนสารวิทยามีการเอาใจใส่ดูแลนักเรียนอย่างดี มีนโยบายเยี่ยมบ้านไปดูแลทุกข์สุข ทุนต่างๆ เราให้เต็มที่ โรงเรียนสารวิทยาเป็นโรงเรียนชั้นนำโรงเรียนหนึ่งของประเทศ ฉะนั้นเรื่องมาเฟียไม่มีโดยเด็ดขาด การมีเรื่องกันระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องนั้น ก็อาจจะมีบ้างเป็นธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นที่อาจจะมีอารมณ์ใส่กัน แต่ถ้าปล่อยให้ทางโรงเรียนจัดการ เรียกมาพูดคุยสอบถามทำความเข้าใจกัน ซึ่งตนรับร้องว่าการดูแลเด็กนักเรียนนั้นทางโรงเรียนดูแลเป็นอย่างดี
ต่อมาหลังจากใช้เวลาประชุมร่วมกันประมาณ 2 ชั่วโมง พล.ต.ท.พงศพัศ เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกันทุกฝ่ายก็จบลงด้วยความเรียบร้อยแล้ว โดยพ่อแม่เด็กนักเรียนที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันนั้นก็ได้มีการขอโทษกันตามลักษณะของสังคมไทย ลูกๆ จะได้เรียนหนังสือต่อไป ทางโรงเรียนก็จะได้ดูแลแก้ไขสิ่งต่างๆ ต่อไป และคดีความทั้ง 4 คดี ก็ได้จบลงไปแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.พัลลภ กล่าวว่า ทางคดีมีทั้งหมด 4 คดีด้วยกัน เป็นเรื่องของเด็กนักเรียนทะเลาะกันก็มีการยุติกันไปได้ ทางผู้ปกครองได้มาฟังผลการสอบสวนของทางโรงเรียนว่า ใครกระทำผิดก็ได้รับการลงโทษไป ผู้ปกครองของเด็กฝ่ายกระทำผิดก็ได้ขอโทษผู้ปกครองฝ่ายเด็กที่เป็นผู้เสียหายไปแล้ว ก็ไม่ติดใจเอาความกัน เพราะเด็กก็ไม่ถึงกับได้รับอันตรายบาดเจ็บมากนัก โทษก็เพียงเปรียบเทียบปรับไป
ส่วนเรื่องที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องฝั่งผู้ปกครอง คือ พ.อ.ศักดิ์ชัย ทำร้ายเด็กนักเรียนนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะทางผู้ปกครองไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพราะเด็กก็ไม่ได้รับอันตรายบาดเจ็บอะไร สำหรับเรื่องที่ 3 นั้น เป็นเรื่องที่ พ.อ.ศักดิ์ชัย แจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทนั้น ก็เป็นความผิดลหุโทษที่ยอมความกันได้ เช่นเดียวกับเรื่องสุดท้ายที่กล่าวหา พ.อ.ศักดิ์ชัยว่าไปดูหมิ่นไว้ก็เป็นเรื่องที่ยอมความกันได้ทุกฝ่าย และผู้ปกครองจะไปถอนแจ้งความภายหลัง และยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบในวันนี้