xs
xsm
sm
md
lg

แฉ “แก๊งมังกร” ทวงหนี้เกินจริง-ขู่กรรโชกยึดทรัพย์รายวัน!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นักธุรกิจพันล้าน ทนไม่ไหว ออกโรงแฉ! แก๊งมังกรจีน “สวมตอ” เจ้าหนี้การเงินแบบมีเลศนัย “กรรโชกทรัพย์” เกินมูลหนี้จริงกว่า 3 เท่า จนยอดทะลุกว่า 50 ล้านบาท เผยข่มขู่ทวงหนี้ด้วยการบีบ “ยึดทรัพย์” แบบรายวัน ด้านลูกหนี้คนดัง “ชวาลา สุวรรณชีพ” เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ “บิ๊ก” กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ถึง สน.บางโพงพาง ก่อนตบเท้าเตรียมเข้าร้องเรียนกับ สนช. สคบ. คลัง แบงก์ชาติ และ ตร.เศรษฐกิจ เจ้าตัวลั่น! จะขอกระชาก “หน้ากาก” แก๊งต่างชาติให้ถึงที่สุด

นายชวาลา สุวรรณชีพ ประธานบริษัท ซี.เอส.โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (21 พ.ย.) เวลาประมาณ 14.00 น.ตนและคณะจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และอาญา กับ กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ในฐานะ “เจ้าหนี้” ที่ใช้วิธีการข่มขู่ในการ “ทวงหนี้” และบังคับเรียกชำระเงินเกินกว่ามูลหนี้จริง ด้วยการสั่งยึดทรัพย์หลายรายการในแบบรายวัน โดยเตรียมจะนำเอกสารหลักฐานและเข้าแจ้งความ กับ สน.บางโพงพาง

ทั้งนี้ นายชวาลา เคยเป็นลูกหนี้เงินกู้ของ บมจ.บงล.สยามซิตี้ซินดิเคท จำนวน 22 ล้านบาท และไม่เคยมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้แต่อย่างใด อีกทั้งหลักทรัพย์ที่นำไปค้ำประกัน คือ ที่ดิน 2 แปลงใน จ.กำแพงเพชร และบ้านพร้อมที่ดินที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็มีมูลค่าเกินกว่ามูลหนี้

กระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ปี 2540 และรัฐบาลได้สั่ง “ปิดกิจการ” ของสถาบันการเงิน 56 แห่ง รวมถึง บมจ.บงล.สยามซิตี้ซินดิเคท ด้วย ทำให้ นายชวาลา ไม่สามารถติดต่อเพื่อขอชำระหนี้ใดๆ ได้

ต่อมา เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2545 กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ได้ส่งหนังสือแจ้งว่าทำการซื้อหนี้ของนายชวาลา จากองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แล้ว พร้อมเสนอให้นายชวาลา ชำระหนี้ที่คั่งค้าง โดยจะทำการตัดชำระหนี้ (แฮร์คัต) เหลือเพียง 15 ล้านบาท

นายชวาลา กล่าวว่า ดังนั้น ปี 2547 จึงได้ให้กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล นำหลักทรัพย์ค้ำประกันข้างต้นไปขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ส่วนนี้ ซึ่งทราบภายหลังว่า กองทุนดังกล่าวได้ทำการขายทอดตลาด คิดเป็นเงินกว่า 16 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่ามูลหนี้ที่ได้ตกลงชำระกันไว้ในเบื้องต้น

“ผมยังเข้าใจว่า หนี้สินระหว่างกันคงจะจบสิ้นกันไปแล้ว และเงินส่วนเกินกว่ามูลหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ผมก็ไม่ได้ติดใจและไม่คิดจะทวงถามคืน เวลาผ่านไปเกือบ 3 ปี โดยที่ไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆ จากกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอลเลย แต่จู่ๆ ก็มีหมายศาลตามมาว่าได้ทำการยึดหลักทรัพย์อื่นๆ ของผมและครอบครัว โดยไม่มีการบอกกล่าว หรือแจ้งเตือนใดๆ”

นายชวาลา ขยายความว่า...ตัวแทนของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ได้แจ้งเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2550 ถึงการเข้ายึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ในแขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา ซึ่งมีราคาประเมินของทางราชการกว่า 40 ล้านบาท

ต่อมา 5 พ.ย.2550 กองทุนรวมดังกล่าว ได้ยึดที่ดินเพิ่มเติมอีก 1 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างอีก 3 หลัง คิดเป็นมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท จากนั้น 7 พ.ย.2550 ยังทำการยึดทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดิน ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของมารดาและญาติมูลค่าเกือบ 2 ล้านบาทอีกด้วย

“เจ้าหน้าที่ของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ได้โทรศัพท์มาหาผม โดยพูดจาในลักษณะข่มขู่ว่าจะยึดทรัพย์ต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงยึดทรัพย์กิจการที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากพวกเขาทราบว่าผมเป็นใคร? มีธุรกิจอะไร? และมีหลักทรัพย์รวมกันแค่ไหน? ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมาก”

นายชวาลา ย้ำว่า นอกจากการเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ สน.บางโพงพาง แล้ว ตนยังวางแผนจะเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ต่อคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการ เงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) รวมถึงกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

เนื่องจากมีข้อสังเกตที่สงสัยว่า การซื้อหนี้จาก ปรส.ของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล เมื่อครั้งยังเป็นโครงการกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล เมื่อ 12 ม.ค.2542 นั้น จะถูกต้องตามข้อกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ เพราะ บลจ.วรรณ ซึ่งเป็นผู้จัดตั้งกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอลขึ้นมาเมื่อ เม.ย.2542 นั้น ได้ทำการเซ็นสัญญาซื้อหนี้ของนายชวาลาจาก ปรส.ช่วงที่กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอลยังไม่มีตัวจริงๆ

อีกทั้งจากการตรวจสอบรายชื่อคณะกรรมการของ บลจ.วรรณ ผู้ก่อตั้งกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของ นายชวาลา ครั้งล่าสุด เมื่อ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่า มีชาวต่างชาติร่วมเป็นกรรมการของบริษัทมากถึง 4 คนจากที่มีทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นายวอง ไซ ฮัง น.ส.เฉิ้ง จา เจิ้น นางชิง ชิง ลี และนายเซา จิ้น ติง โดย 2 คนในจำนวนนัย ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทอีกด้วย

ดังนั้น จึงเกรงว่า เรื่องดังกล่าวอาจจะเกี่ยวข้องกับ “ขบวนการกรรโชกทรัพย์ของชาวต่างชาติ” เนื่องจากทราบมาว่านอกจากนายชวาลาแล้ว ยังมีลูกหนี้รายอื่นๆ ที่ถูกข่มขู่ด้วยวิธีการคล้ายๆ ทั้งนี้ นายชวาลา ย้ำหนักแน่นว่า พร้อมจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่และความถูกต้องต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น