ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต 2 พ่อลูกชาว จ.พะเยา ตั้งแก๊งค้ายาบ้า 80,000 เม็ด หลังต่อสู้คดีในชั้นศาล ชี้อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งรอด ศาลระบุไม่มีส่วนรู้เห็นให้ยกฟ้อง
วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดียาเสพติดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายแคะเสี่ยว แซ่จ๋าว อายุ 29 ปี จำเลยที่1 นายเส็งเสี่ยว แซ่จ๋าว อายุ 27 ปี จำเลยที่ 2, นายเมธิชัย กิรติวิทยางกูร อายุ 29 ปีจำเลยที่ 3, นายไหน แซ่จ๋าว อายุ 47 ปี จำเลยที่ 4, นายธนา แซ่จ๋าว อายุ 22 ปี จำเลยที่ 5 และ นายเก้าแคะ ธีระบัณฑิต อายุ 62 ปี จำเลยที่ 6 ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.พะเยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.44 เจ้าหน้าที่ ตำรวจ บช.ปส.จ.เชียงราย ได้รับแจ้งจากสายข่าวลับว่าพวกจำเลยเป็นแก๊งค้ายาบ้ารายใหญ่ จึงทำการติดต่อล่อซื้อจำนวน 80,000 เม็ด ในราคา 200,000 บาท และนัดตกลงเจรจากันที่บ้านพักของสายลับใน จ. พะเยา โดยจำเลยที่ 1 มาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและนัดส่งมอบของกลางที่สถานีขนส่ง จ.พะเยา ในวันที่ 1 มิ.ย.44 โดยจำเลยที่ 4, 2 และ 5 ซึ่งเป็นบิดาและน้องชายของจำเลยที่ 1 พร้อมด้วยจำเลยที่ 3 และ 6 เป็นผู้นำยาบ้า 40 มัด รวม 80,000 เม็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุมจำเลยได้ทั้งหมด เบื้องต้นจำเลยที่ 1 และ 3 ให้การรับสารภาพส่วนจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 6 ให้การปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่รู้จักกับจำเลยที่ 1 และไม่เกี่ยวข้องกับการค้ายาบ้าดังกล่าว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1-4 ส่วนจำเลยที่ 6 ให้จำคุกตลอดชีวิต และให้ พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 5 อย่างไรก็ดีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพมาโดยตลอดจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 1-4 และ 6 ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และ 4 ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าพยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมตัวซื้อยาบ้าไม่รู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อนจึงไม่มีเหตุปรักปรำจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าวันเกิดเหตุพบจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องชายในร้านอาหารจริง แต่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเห็นว่าเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ เพราะหากจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีเหตุผลที่จำเลยที่ 2 จะไปปรากฏตัวกับจำเลยที่ 1 รูปคดีรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปรับยาบ้าของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 ย้อนไปสมทบกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นบิดาเพื่อรอรับเงินค่ายาบ้า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกระทำความผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2, 4 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน