xs
xsm
sm
md
lg

“เงินสีเทา” ปมผู้หมวดยิงรอง ผกก.

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ผลประโยชน์กับวงการตำรวจดูเหมือนจะเป็นคู่แฝดที่ตัดไม่ขาด หากเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นใหญ่จนหน้ามืดตามัว มันจะกลายเป็นด้านมืดครอบงำด้านดี

พลันที่เสียงปืนดังขึ้นที่หน้าห้องปฏิบัติการจราจร สน.บางยี่ขัน คร่าชีวิต พ.ต.ท.วีรากร ไวยวุฒิ รอง ผกก.ป.สน.บางยี่ขัน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 ตุลาคม จนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 10 วันแล้วที่มือปืนยังลอยนวล แม้คดีนี้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องใช้วิชาการสืบสวนหาพยานหลักฐานมัดตัวคนร้าย เพราะเมื่อร้อยเรียงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ ประกอบกับมีพยานรู้เห็นอยู่แล้วว่า คนร้ายที่ยิง พ.ต.ท.วีรากร คือ ร.ต.ท.วัชรินทร์ รักประทุม พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.บางยี่ขัน ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน ตำรวจ สน.เดียวกันนั่นเอง

หากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อค่ำคืนวันที่ 16 ต.ค. พ.ต.ท.วีรากร ได้วิทยุสั่งการให้หัวหน้าสายตรวจของ สน.บางยี่ขัน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ปิดร้าน “อีสานเถิดเทิง” เนื่องจากเปิดเกินเวลา ทำให้ ร.ต.ท.วัชรินทร์ ที่กำลังนั่งดื่มอยู่ในร้านเกิดอาการไม่พอใจ สอบถามว่าใครเป็นคนสั่งปิดร้าน เมื่อ ร.ต.ท.วัชรินทร์ รู้ว่า พ.ต.ท.วีรากร เป็นคนสั่งปิดร้านจึงออกจากร้านดังกล่าว เดินทางมาที่ สน.บางยี่ขันทันที

ไม่มีบทสนทนาระหว่างทั้งสองเกิดขึ้น เมื่อ ร.ต.ท.วัชรินทร์ มาถึงบริเวณ สน. ซึ่งพบ พ.ต.ท.วีรากร เดินอยู่ ร.ต.ท.วัชรินทร์ ได้เดินตรงเข้ามาหาแล้วชักอาวุธปืนยิงใส่แขน พ.ต.ท.วีรากร 1 นัดทันที จน พ.ต.ท.วีรากร ล้มลง พร้อมตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “มึงกล้ายิงกูเหรอ” ร.ต.ท.วัชรินทร์ จึงตามเข้ามายืนคร่อมตัว พ.ต.ท.วีรากร ก่อนจะตะโกนด้วยความโกรธ “ทำไมกูจะไม่กล้ายิงมึง” และใช้อาวุธปืนยิงใส่อีก 2-3 นัดแล้วหลบหนีไป

เบื้องต้นพบบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม.จำนวน 3 นัด คือ บริเวณขมับขวา กระสุนฝังใน ต้นแขนขวากระสุนทะลุฝังชายโครงขวา และต้นแขนซ้าย กระสุนทะลุฝังชายโครงซ้าย

นับเป็นการฆาตกรรมที่อุกอาจ เหี้ยมโหดนัก

นับว่าคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งทำให้วงการสีกากีมีรอยด่างพร้อย เมื่อตำรวจใช้อาวุธปืนที่อยู่ในมือตัดสินปัญหากันเอง ซ้ำเกมตำรวจจับตำรวจจึงยากเป็น2 เท่า เนื่องจากคนร้ายย่อมให้วิชาความรู้การสืบสวนหลบหนีการจับกุมอย่างแน่นอน

พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ต้องเข้ามาดูแลด้วยตัวเอง พร้อมสั่งการให้ตำรวจทุกกรมกองที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันตามล่าก่อนตามขั้นตอนของการสืบสวน แต่หากจะมีการมอบตัวก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งกระแสข่าวช่วงแรกนั้นมีทีท่าว่า คนร้ายจะเข้ามอบตัวแต่จนถึงบัดนี้กระแสข่าวการมอบตัวได้เงียบหายไป

กลับกัน นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 43 รุ่นเดียวกับผู้ตายถึงขึ้นร่วมแรงร่วมใจกัน จนกระแสข่าวค่อนข้างรุนแรงถึงว่าหากมีการยิงต่อสู้ ขัดขืนการจับกุมก็อนุญาตให้จับตายได้ทันที เพราะคนร้ายรายนี้ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ด้าน พ.ต.อ.บัณฑิต ทิศาภาค ที่มารับตำแหน่ง ผกก.สน.บางยี่ขัน ได้เพียง 4 เดือน ในฐานะผู้บังคับบัญชาของทั้งสองฝ่ายต้องรับบทหนัก ทั้งโดนต่อว่าจากหัวหน้าหน่วยว่าไม่มีความสามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชากลมเกลียวกัน

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.บัณฑิต เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามตัวตำรวจปืนโหดรายนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อเข้ามอบตัวแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.น.7 ศูนย์สืบสวน บช.น. และกองปราบปราม ติดตามผู้ต้องหาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ติดตามในแหล่งที่คาดว่าผู้ต้องหาน่าจะไปหลบซ่อน ทั้งในบ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช บ้านญาติพี่น้อง และเพื่อนสนิท แต่ล่าสุดยังไร้วี่แวว

พ.ต.อ.บัณฑิต กล่าวถึงกระแสข่าวว่า ร.ต.ท.วัชรินทร์ อาจหนีไปหลบซ่อนกับนายตำรวจยศ พ.ต.อ.นั้นว่า เรื่องดังกล่าวจากแนวทางการสืบสวนพบว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงกระแสข่าวเท่านั้น

“ผมยืนยันว่า ร.ต.ท.วัชรินทร์ น่าจะยังยังคงกบดานอยู่ในประเทศอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ได้ส่งหมายจับไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบยังไม่พบว่ามีข้อมูล ร.ต.ท.วัชรินทร์ ออกนอกประเทศ” ผกก.สน.บางยี่ขันกล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนยังคงติดตามตัว ร.ต.ท.วัชรินทร์ อย่างต่อเนื่อง ไม่คำนึงว่าเป็นตำรวจแล้วจะรอให้มามอบตัว โดยจะเร่งติดตามตัวให้ได้โดยเร็วที่สุด สำหรับปมสาเหตุฆาตกรรม ที่ส่งผลถึงการหลุดเก้าอี้ ผกก.สน.บางยี่ขัน ครั้งนี้ พล.ต.ต.จุตติ ธรรมมโนวานิช รอง ผบช.น ระบุว่าสาเหตุครั้งนี้มาจากความขัดแย้งส่วนตัว ยืนยันว่าทั้งสองคนรู้จักกันมานาน เคยโกรธเคืองมีปากเสียงกันเรื่องส่วนตัวมาหลายครั้ง

ทั้งนี้ พ.ต.ท.วีรากร อยู่ สน.บางยี่ขัน มา 5 ปี ขณะที่ตำรวจปืนโหดมาประจำ สน.บางยี่ขัน 4 ปี เป็นพนักงานสอบสวนได้ 2 ปี ก่อนจะมาช่วยงานสายสืบเนื่องจากความสามารถด้านสืบสวนอีก 2 ปี ซึ่งสายงานของบุคคลทั้งสองแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเท่าไหร่นัก

แต่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สายปราบปรามมีหน้าที่ดูแลสถานบันเทิงในพื้นที่ให้ปิดตามเวลา รวมถึงผลประโยชน์ตามธรรมเนียมของสถานบันเทิงที่ต้องให้กับตำรวจ แต่หากอีกสายหนึ่งเข้ามาทำหน้าที่นี้ด้วยจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ขึ้นมาทันที

เมื่อ พ.ต.ท.วรากร สั่งการให้ปิดร้านทั้งๆ ที่ทราบว่าร้านดังกล่าว ร.ต.ท.วัชรินทร์ เป็นหุ้นส่วนอยู่ รวมทั้งจัดการเรื่องค่าธรรมเนียม ความหมักหมมของการเคลียร์ผลประโยชน์ไม่ลงตัวจึงเป็นตัวจุดชนวนความโกรธเคืองให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ

อย่างไรก็ตาม สาเหตุการฆาตกรรมที่แท้จริงในวงการสีกากีไม่มีใครต้องการเปิดเผยมันขึ้นมา นอกจากทำให้ภาพลักษณ์วงการสีกากีที่ถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากสังคมอยู่แล้วถูกแรงโหมขึ้นไปอีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์ในการปกครองตำรวจได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ผกก.ในฐานะหัวหน้าสถานีจะทำอย่างไรให้ตำรวจทุกนายที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีความรัก สามัคคีกัน นอกจากจะทำให้การทำงานมีความราบรื่นแล้ว ยังส่งผลดีต่อประชาชนด้วย

กำลังโหลดความคิดเห็น