จะมีใครทราบบ้างว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิด นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ “กำนันเป๊าะ” ผู้ยิ่งยงแห่งชลบุรี เมืองน้ำเค็ม เจ้าพ่อภาคตะวันออกที่อยู่ระหว่างการหลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน ไปเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2550 จนบัดนี้จวบจะ 6-7 เดือนแล้ว ที่คนไทยทั้งประเทศกว่า 60 ล้านคนไม่รู้ว่า ณ ขณะนี้ “กำนันเป๊าะ” ไปพำนักหลบซ่อนตัวหรือกบดานอยู่ที่ไหน ในประเทศหรือนอกประเทศ
“กำนันเป๊าะ”ต้องวิบากกรรมดังกล่าว ด้วยคดี ทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่ฝังกลบขยะของเมืองพัทยา จำนวน 140 ไร่ อันตั้งอยู่พื้นที่ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หรือเรียกกันสั้นๆว่า “คดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้ว”
คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2536 เมื่อเมืองพัทยา กำลังจะจัดหาที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ฝังกลบขยะ โดยตั้งสเปกว่า ที่ดินดังกล่าวต้องอยู่ห่างจากเมืองพัทยาในรัศมีไม่เกิน 15 กิโลเมตร แต่หลังจากการเปิดประมูล ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าของที่ดินเจ้าใดเสนอมา จึงมีการเลื่อนสเปกใหม่ว่า ให้อยู่ห่างออกไปได้อีกเป็น 25 กิโลเมตร จุดนี้เอง นายพีระ ศิลรัตน์ เจ้าของที่ดินจำนวน 150 ไร่ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เสนอที่ดินจำนวน 140 ไร่ ให้เมืองพัทยาพิจารณา โดยเสนอขายในราคาไร่ละ 6 แสนบาทเศษ รวมเป็นเงิน 93 ล้านบาทเศษ ซึ่งเมืองพัทยาก็ตกลงซื้อที่ดินดังกล่าวเอาไว้และชำระเงินให้เจ้าของที่ดินไปทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย
ปัญหาแดงขึ้น เมื่อมีการร้องเรียนว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อเองก็รู้ดี เพราะเคยมีหนังสือจากสำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี และกรมที่ดินให้ตรวจสอบและเพิกถอนสิทธิ์ แต่ยังฝืนทำสัญญาซื้อขาย เมื่อมีการสอบสวนลึกลงไปอีก พบข้อมูลอันน่าตระหนกถึงมหกรรมทุจริตครั้งใหญ่ เพราะที่ดินแปลงนี้ นายพีระเพิ่งซื้อมาจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.ฯ เมื่อปี 2535 ในราคาเพียงไร่ละ 50,000 บาทเท่านั้น และในสัญญาการซื้อขายของทั้ง 2 ฝ่ายก็ลงชื่อยอมรับเองว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งระยะเวลาเพียงปีเดียว จากที่ดินไร่ละ 5 หมื่นบาทกลับเพิ่มมูลค่ากว่า 10 เท่าอย่างเหลือเชื่อ
ไม่เพียงเท่านั้น ที่ดินที่เหลืออีก 10 ไร่ นายพีระขายต่อให้ชาวบ้านรายหนึ่งในราคาเพียงไร่ละ 30,000 บาท ในขณะที่เมืองพัทยาอ้างว่าได้ตรวจสอบการซื้อขายที่ดินละแวกดังกล่าวแล้ว พบว่าราคาอยู่ในระดับมาตรฐานคือไร่ละ 6-7 แสนบาท แต่จากหลักฐานพบว่า การซื้อขายที่ดินที่เมืองพัทยานำมาอ้างนั้น เกิดขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกับที่มีการจัดซื้อที่ทิ้งขยะ และจำนวนผู้ซื้อ-ขาย ที่ดินรอบๆ จำนวน 3 ราย เป็นการซื้อขายกันเองแบบจงใจ เจ้าของใหม่ซื้อที่ดินไม่นานก็ขายคืนให้เจ้าของเดิม แต่ราคาลดลงมหาศาล และเมื่อสอบปากคำเจ้าของที่สารภาพว่า มีคนจ้างให้ทำเช่นนี้ ได้เงินค่าเสียเวลา 10,000 บาท ส่วนภาษีและค่าใช้จ่ายในการโอนมีคนออกให้ทั้งหมด
กำนันเป๊าะ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อชุดสืบสวนของพนักงานสอบสวนภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผช.ผบช.ภ.2) สืบทราบและมีหลักฐานแน่ชัดว่า นายพีระ ผู้ขายที่ดินให้เมืองพัทยา ทำงานอยู่ในบ้านกำนันเป๊าะ และมีสถานะเป็นเพียงคนสวนเท่านั้น เรื่องจึงไปลงเอยที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งมีคำพิพากษาเป็นที่สุดให้จำคุกนายสมชาย คุณปลื้ม รวมเป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน
นอกเหนือจากคดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้วแล้ว “กำนันเป๊าะ” ยังต้องเผชิญวิบากกรรมในคดีจ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร คู่แข่งบารมีร่วมเมือง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่กำนันยูรถูกสังหารเสียชีวิต แต่เป็นคดีก่อนที่กำนันยูรจะถูกสังหาร โดยตำรวจมีหลักฐานว่า มีการวางแผนและจ้างวานให้สังหารกำนันยูร ทว่า การสั่งการในครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ โดยศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์พิพากษาจำคุกในคดีจ้างวานฆ่าแต่ไม่สำเร็จเป็นเวลา 25 ปี ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ยังไม่มีใครรู้ว่า ปัจจุบัน “กำนันเป๊าะ”อยู่ที่ไหน แม้แต่คนในครอบครัว “คุณปลื้ม” เองก็ยังไม่รู้ โดยนางสติล ภรรยาของกำนันเป๊าะ บอกก่อนจะมีคำพิพากษาศาลฎีการาว 1 เดือนไว้ว่า กำนันเป๊าะ ออกจากบ้านพักไปประมาณ 7 วันแล้ว บอกแต่เพียงว่าจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการป่วย จนป่านนี้ยังไม่กลับมา ไม่ทราบว่าหายไปอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ครอบครัว “คุณปลื้ม” ได้ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดนายสมชาย คุณปลื้ม ที่จะเวียนมาบรรจบในวันที่ 30 ก.ย.50 ซึ่งในวันนั้น ก็ไม่ปรากฏร่าง “กำนันเป๊าะ” แต่ครอบครัว “คุณปลื้ม” ก็ยังยืนยันจะจัดงานลักษณะดังกล่าวต่อไปในทุกๆปี
ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่า ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ไม่มีใครรู้เห็นการหายตัวไปของกำนันเป๊าะแม้แต่คนเดียว ตั้งแต่สมัยที่ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ดำรงตำแหน่ง ผบช.ภ. 2 ในขณะนั้น แม้จะนำกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นในบ้าน “แสนสุข” บ้านของกำนันเป๊าะแล้วก็ตาม ซึ่งเราก็เชื่อตามนั้นว่า พล.ต.ท.จงรัก ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่พบตัวกำนันเป๊าะเลยจริงๆ
สุดท้ายเมื่อ “กำนันเป๊าะ” จะเต็มใจ หรือจะมีเจตนาหลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อกำนันเป๊าะได้หลบหนีไปแล้วก็จะต้องหลบหนีเช่นนี้ต่อไปชั่วชีวิต...
“กำนันเป๊าะ”ต้องวิบากกรรมดังกล่าว ด้วยคดี ทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่ฝังกลบขยะของเมืองพัทยา จำนวน 140 ไร่ อันตั้งอยู่พื้นที่ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หรือเรียกกันสั้นๆว่า “คดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้ว”
คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2536 เมื่อเมืองพัทยา กำลังจะจัดหาที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ฝังกลบขยะ โดยตั้งสเปกว่า ที่ดินดังกล่าวต้องอยู่ห่างจากเมืองพัทยาในรัศมีไม่เกิน 15 กิโลเมตร แต่หลังจากการเปิดประมูล ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าของที่ดินเจ้าใดเสนอมา จึงมีการเลื่อนสเปกใหม่ว่า ให้อยู่ห่างออกไปได้อีกเป็น 25 กิโลเมตร จุดนี้เอง นายพีระ ศิลรัตน์ เจ้าของที่ดินจำนวน 150 ไร่ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เสนอที่ดินจำนวน 140 ไร่ ให้เมืองพัทยาพิจารณา โดยเสนอขายในราคาไร่ละ 6 แสนบาทเศษ รวมเป็นเงิน 93 ล้านบาทเศษ ซึ่งเมืองพัทยาก็ตกลงซื้อที่ดินดังกล่าวเอาไว้และชำระเงินให้เจ้าของที่ดินไปทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย
ปัญหาแดงขึ้น เมื่อมีการร้องเรียนว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อเองก็รู้ดี เพราะเคยมีหนังสือจากสำนักงานที่ดิน จ.ชลบุรี และกรมที่ดินให้ตรวจสอบและเพิกถอนสิทธิ์ แต่ยังฝืนทำสัญญาซื้อขาย เมื่อมีการสอบสวนลึกลงไปอีก พบข้อมูลอันน่าตระหนกถึงมหกรรมทุจริตครั้งใหญ่ เพราะที่ดินแปลงนี้ นายพีระเพิ่งซื้อมาจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.ฯ เมื่อปี 2535 ในราคาเพียงไร่ละ 50,000 บาทเท่านั้น และในสัญญาการซื้อขายของทั้ง 2 ฝ่ายก็ลงชื่อยอมรับเองว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งระยะเวลาเพียงปีเดียว จากที่ดินไร่ละ 5 หมื่นบาทกลับเพิ่มมูลค่ากว่า 10 เท่าอย่างเหลือเชื่อ
ไม่เพียงเท่านั้น ที่ดินที่เหลืออีก 10 ไร่ นายพีระขายต่อให้ชาวบ้านรายหนึ่งในราคาเพียงไร่ละ 30,000 บาท ในขณะที่เมืองพัทยาอ้างว่าได้ตรวจสอบการซื้อขายที่ดินละแวกดังกล่าวแล้ว พบว่าราคาอยู่ในระดับมาตรฐานคือไร่ละ 6-7 แสนบาท แต่จากหลักฐานพบว่า การซื้อขายที่ดินที่เมืองพัทยานำมาอ้างนั้น เกิดขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกับที่มีการจัดซื้อที่ทิ้งขยะ และจำนวนผู้ซื้อ-ขาย ที่ดินรอบๆ จำนวน 3 ราย เป็นการซื้อขายกันเองแบบจงใจ เจ้าของใหม่ซื้อที่ดินไม่นานก็ขายคืนให้เจ้าของเดิม แต่ราคาลดลงมหาศาล และเมื่อสอบปากคำเจ้าของที่สารภาพว่า มีคนจ้างให้ทำเช่นนี้ ได้เงินค่าเสียเวลา 10,000 บาท ส่วนภาษีและค่าใช้จ่ายในการโอนมีคนออกให้ทั้งหมด
กำนันเป๊าะ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อชุดสืบสวนของพนักงานสอบสวนภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผช.ผบช.ภ.2) สืบทราบและมีหลักฐานแน่ชัดว่า นายพีระ ผู้ขายที่ดินให้เมืองพัทยา ทำงานอยู่ในบ้านกำนันเป๊าะ และมีสถานะเป็นเพียงคนสวนเท่านั้น เรื่องจึงไปลงเอยที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งมีคำพิพากษาเป็นที่สุดให้จำคุกนายสมชาย คุณปลื้ม รวมเป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน
นอกเหนือจากคดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้วแล้ว “กำนันเป๊าะ” ยังต้องเผชิญวิบากกรรมในคดีจ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร คู่แข่งบารมีร่วมเมือง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่กำนันยูรถูกสังหารเสียชีวิต แต่เป็นคดีก่อนที่กำนันยูรจะถูกสังหาร โดยตำรวจมีหลักฐานว่า มีการวางแผนและจ้างวานให้สังหารกำนันยูร ทว่า การสั่งการในครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ โดยศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์พิพากษาจำคุกในคดีจ้างวานฆ่าแต่ไม่สำเร็จเป็นเวลา 25 ปี ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ยังไม่มีใครรู้ว่า ปัจจุบัน “กำนันเป๊าะ”อยู่ที่ไหน แม้แต่คนในครอบครัว “คุณปลื้ม” เองก็ยังไม่รู้ โดยนางสติล ภรรยาของกำนันเป๊าะ บอกก่อนจะมีคำพิพากษาศาลฎีการาว 1 เดือนไว้ว่า กำนันเป๊าะ ออกจากบ้านพักไปประมาณ 7 วันแล้ว บอกแต่เพียงว่าจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการป่วย จนป่านนี้ยังไม่กลับมา ไม่ทราบว่าหายไปอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ครอบครัว “คุณปลื้ม” ได้ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดนายสมชาย คุณปลื้ม ที่จะเวียนมาบรรจบในวันที่ 30 ก.ย.50 ซึ่งในวันนั้น ก็ไม่ปรากฏร่าง “กำนันเป๊าะ” แต่ครอบครัว “คุณปลื้ม” ก็ยังยืนยันจะจัดงานลักษณะดังกล่าวต่อไปในทุกๆปี
ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่า ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ไม่มีใครรู้เห็นการหายตัวไปของกำนันเป๊าะแม้แต่คนเดียว ตั้งแต่สมัยที่ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ดำรงตำแหน่ง ผบช.ภ. 2 ในขณะนั้น แม้จะนำกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นในบ้าน “แสนสุข” บ้านของกำนันเป๊าะแล้วก็ตาม ซึ่งเราก็เชื่อตามนั้นว่า พล.ต.ท.จงรัก ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่พบตัวกำนันเป๊าะเลยจริงๆ
สุดท้ายเมื่อ “กำนันเป๊าะ” จะเต็มใจ หรือจะมีเจตนาหลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อกำนันเป๊าะได้หลบหนีไปแล้วก็จะต้องหลบหนีเช่นนี้ต่อไปชั่วชีวิต...
