xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาลดโทษ “อาศักดา” คดีอึ๊บเด็ก เหลือคุก 14 ปี

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลฎีกาลดโทษ “อาศักดา” อดีตรอง ผกก.จร.สน.ลุมพินี คดีอึ๊บเด็กเหลือโทษจำคุก 14 ปี 4 เดือน จากโทษเดิมที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา 16 ปี 4 เดือน ด้านทนายเตรียมยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ

วันนี้ (25 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ.ส.ต.อนันต์ นาคสุข หรือจ่าหวัง อายุ 38 ปี อดีตสายตรวจ สน.บุปผาราม เป็นจำเลยที่ 2 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และ พ.ต.ท.ศักดา ช่างเรือ หรืออาศักดา อายุ 47 ปี อดีตรอง ผกก.จร.สน.ลุมพินี เป็นจำเลยที่ 3 ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี สำหรับนางแวว หรือแมว สุขนุ่ม จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ซึ่งถูกจำคุก 50 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ เป็นธุระจัดหาเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีเพื่อสนองความใคร่ผู้อื่นแลศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.45 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 8 ปี จำคุก จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 18 ปี ต่อมาวันที่ 24 มี.ค.48 ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 8 ปี ในขณะที่จำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์แก้โทษเหลือจำคุก 16 ปี 4 เดือน

ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกามีใจความว่าโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 6 พ.ย.เวลากลางวันถึงวันที่ 15 ธ.ค.44 กลางคืนต่อเนื่องเที่ยงวัน จำเลยที่ 1 กับพวกอีกหลายคนที่แยกดำเนินคดีต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ร่วมกันพราก ด.ญ.เปิ้ล อายุ 12 ปี ผู้เสียหาย ไปเสียจากมารดาโดยพาไปค้าประเวณีเพื่อหากำไรและเพื่อการอนาจาร และยังเป็นธุระจัดหา โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายให้กับ จำเลยที่ 2 และ 3 กระทำชำเรา ซึ่งจำเลยกับพวกรับเงินเป็นค่าตอบแทนอันเป็นการสมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าเด็ก ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบโดยทุจริต

เห็นว่า ด.ญ.เปิ้ล ถูกจำเลยที่ 1 พรากไปจากผู้ปกครองเพื่อสำเร็จความใคร่ให้ผู้อื่น โดยผู้เสียหายยินยอมให้กระทำชำเรา โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าถูกจำเลยที่ 1 พาไปพบ จำเลยที่ 2 ที่ร้านเซเว่นฯ แห่งหนึ่งย่านฝั่งธนบุรี ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะพาไปที่โรงแรมธนบุรี จากนั้นได้ร่วมประเวณี ซึ่งวันนั้นจำเลยที่ 2 แต่งเครื่องแบบ แต่ผู้เสียหายไม่ทราบว่ายศอะไรทราบเพียงแต่ว่าชื่อ “จ่าหวัง” เห็นว่าผู้เสียหายมีเวลาอยู่ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 2 ย่อมจดจำรูปร่างหน้าตาของจำเลยที่ 2 ได้ ประกอบกับการสอบปากคำผู้เสียหาย และการที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยที่ 2 ไว้ด้วย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายรู้จักกับจำเลยที่ 2 มาก่อน หรือมีสาเหตุโกรธเคือง เชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามจริง

ด้านที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ในการชี้ตัวพนักงานสอบสวนได้ให้ผู้เสียหายดูรูปจำเลยที่ 2 ก่อน พร้อมจัดให้มีการแต่งกายที่แตกต่างจากบุคคลอื่น โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความไว้ในประเด็นดังกล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายจนทราบว่าเป็นจำเลยที่ 2 เป็นตำรวจอยู่ สน.บุปผาราม จึงประสานไปยัง สน.บุปผาราม เพื่อขอรูปมาให้ผู้เสียหายดู โดยผู้เสียหายสามารถยืนยันได้ในทันที ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมอบตัว จึงมีการชี้ตัวยืนยันดังกล่าว เห็นว่าพนักงานสอบสวนปฏิบัติไปตามหน้าที่ถูกต้องตามระเบียบ ฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ที่มีหลักฐานมั่นคงได้ ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

นอกจากนี้ ด.ญ.เปิ้ล ผู้เสียหายยังให้การในชั้นสอบสวนว่า ถูกจำเลยที่ 1 พร้อมกับพวกพาไปพบจำเลยที่ 3 ที่ภายหลังทราบชื่อว่า “อาศักดา” ที่ห้องทำงาน สน.ลุมพินี โดยมีการกระทำอนาจารภายในห้องทำงาน หลังจากนั้นได้จำเลยที่ 3 ได้สั่งให้ผู้เสียหายไปรอที่ป้ายรถประจำทางใกล้กับ สน.ลุมพินี ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะขับรถกระบะสีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมารับ พาไปที่โรงแรมเพนเฮาส์ โดยมีการร่วมประเวณีกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้พาไปพบจำเลยที่ 3 อีก โดยพาไปร่วมประเวณีกันที่โรงแรมเดิม โดยจำเลยที่ 3 ได้มอบเงินให้ครั้งละ 1,000 บาท เห็นว่าผู้เสียหายเบิกความเป็นขั้นตอน ยากแก่การแต่งเรื่องขึ้นมา และสามารถนำชี้จุดตั้งแต่ห้องทำงานของจำเลยที่ 3 จนถึงห้องพักที่โรงแรม โดยผู้เสียหายให้ปากคำหลังเกิดเหตุการณ์ไม่นาน ย่อมจดจำเหตุการณ์ได้

ส่วนที่ผู้เสียหายกลับคำให้การเป็นพยานจำเลยที่ 3 ว่ามีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน และไม่เคยร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า ผู้เสียหายต้องการให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 3 ให้พ้นจากข้อกล่าวหา คำเบิกความในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุ เห็นว่ามีความเป็นจริงยิ่งกว่า การมาเบิกความเป็นพยานให้จำเลยที่ 3 ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์มีพยานเป็นผู้เสียหายเพียงปากเดียวไม่มีพยานแวดล้อมสนับสนุนนั้น เห็นว่า การกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ โดยไม่มีพยานแวดล้อมสนับสนุนนั้น เมื่อน่าเชื่อว่าเป็นความจริง ย่อมลงโทษจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า เข้าใจผิดเรื่องอายุของผู้เสียหาย เพราะรูปร่างดูไม่สมกับอายุ เห็นว่าจากคำเบิกความของผู้เสียหายตอนหนึ่งว่า เมื่อไปพบจำเลยที่ 3 ที่ห้องทำงานนั้น จำเลยที่ 3 ได้สอบถามว่าเรียนชั้นอะไร อายุเท่าไหร่ ผู้เสียหายบอกว่าเรียนอยู่ชั้น ป.5 อายุ 12 ปี ดังนั้น จำเลยที่ 3 ย่อมรู้โดยชัดอยู่แล้วและโจทก์มีพยานหลักฐานมั่นคง ฎีกาของจำเลยที่ 3 ไม่สามารถรับฟังได้ ดังนั้นฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามการที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 และ 3 นั้น เห็นว่าโทษหนักเกินไป

จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ให้จำคุกเป็นเวลา 7 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุกเป็นเวลา 4 เดือน และฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ให้จำคุกเป็นเวลา 7 ปี รวม 2 กระทง รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 14 ปี 4 เดือน

ภายหลังที่ศาลมีคำพิพากษา เจ้าหน้าราชทัณฑ์ได้เข้าควบคุมตัวจำเลยทั้งสองไปไว้ที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญา เพื่อเตรียมนำส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป โดยระหว่างเดินออกจากห้องพิจารณาคดีนั้น บรรดาญาติของจำเลยทั้ง 2 ต่างร่ำไห้โดย พ.ต.ท.ศักดา มีสีหน้าที่สลดอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ จ.ส.ต.อนันต์ มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน

ด้าย นายเสถียร สมานโสร์ ทนายความของ พ.ต.ท.ศักดา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าหลังจากนี้คงได้แต่ดำเนินการเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษแก่จำเลยทั้งสองต่อไป

กำลังโหลดความคิดเห็น