ศาลออกหมายจับ “เปรตกู้” เบี้ยวฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมิ่นพุทธศาสนา นัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง 10 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น. ขณะที่ช่วงบ่าย “เปรตกู้” โผล่ปรากฏตัวต่อศาล อ้างไม่ได้รับหมายนัด ปฏิเสธหลบหนี ศาลเตรียมอ่านฎีกาวันนี้
วันนี้ (6 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 912 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติ ประภัสโรบล หรืออาจารย์กู้ หรือเปรตกู้ อายุ 62 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานกระทำการด้วยประการใดๆ แก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในศาสนาของหมู่ชนใดอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา กรณีที่ช่วงปี 2539 อาจารนายกิตติแต่งกายเป็นพระภิกษุสงฆ์ และยืนทำท่าทางเลียนแบบพระพุทธรูปปางห้ามญาติ และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ โดยใช้เท้าเหยียบที่ฐานพระพุทธรูปขณะทำท่าล้อเลียน ซึ่งถือเป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชน จำเลยให้การปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาปรากฏว่านายกิตติยังไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียง นายไพโรจน์ จำลองราษฎร์ ทนายความมาศาลเท่านั้น ศาลเห็นว่าจำเลยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่มีเจตนาไม่มาฟังคำพิพากษาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายกิตติมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งในวันที่ 10 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ด้าน นายไพโรจน์ กล่าวว่า ตนได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกับนายกิตติ และมีโอกาสพบกับนายกิตติเพียงไม่กี่ครั้ง โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายไป วันนี้ตนรับปากว่าจะมาช่วยฟังคดีให้ แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดนายกิตติจึงไม่เดินทางมาศาล เท่าที่ทราบว่านายกิตติเองก็ไม่ได้ป่วยหรือมีเหตุผลจำเป็นอะไร ตนจึงไม่ได้แถลงขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกามาแล้วเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถส่งหมายนัดให้นายกิตติได้ ส่วนคดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติเมื่อวันที่ 21 ส.ค.43 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ย.44 เห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตร ศาลจึงให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ต่อมาวันที่ 14 มี.ค.46 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าเป็นเพียงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น
นอกจากนี้ นายกิตติยังเคยถูก พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดชื่อดัง ยื่นฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์ เป็นผู้ว่าจ้างให้ถ่ายทำวิดีโอบันทึกภาพผีเปรตที่ อ.คำชะโนด จ.อุดรธานี เพื่อหลอกลวงผู้อื่น โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ส.ค.47 ว่าจำเลยมีความผิดจริง ให้จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ปรับ 15,000 บาท จำเลยให้การเป็นโยชน์ลดโทษให้1 ใน 3 คงจำคุก 4 เดือนปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี
ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. นายกิตติได้เดินทางมายังศาลอาญา โดยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าตนไม่ได้รับหมายนัดจากศาล จึงไม่รู้ว่าศาลนัดอ่านฎีกาวันนี้ แต่พอช่วงเช้าวันนี้ทราบข่าวจากทางวิทยุว่าศาลออกหมายจับตนจึงรีบเดินทางมาจาก จ.ชลบุรี โดยยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะหลบหนี เพราะคดีนี้ตนต่อสู้คดีมาถึง 7 ปี ที่ผ่านมามีความยากลำบากทั้งเลี้ยงลูก 5 คน ต้องขายของและขับแท็กซี่ คดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแล้ว ชั้นฎีกาตนคงไม่ต้องหนีอีก วันนี้จึงมาแสดงตัวต่อศาลเพื่อฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาต่อไป โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อจำเลยมาแสดงตัวต่อหน้าศาลแล้ว ศาลอาจมีคำสั่งยกเลิกหมายจับ และมีคำพิพากษาศาลฎีกาได้ในวันนี้
ต่อมา เวลา 15.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยศาลได้สอบถามจำเลยถึงเหตุผลที่ไม่มาศาลตามนัดในช่วงเช้าเพื่อฟังคำพิพากษา ซึ่งจำเลยแถลงยืนยันว่าไม่เคยได้รับหมายนัดจากศาล ศาลจึงสอบถามที่อยู่ปัจจุบันทราบว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 99/266 ม. 1 ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งอยู่กับบุตรธิดารวม 5 คน ซึ่งบุคคลในบ้านต่างก็ไม่มีใครได้รับหมายนัดจากศาลเช่นกัน ศาลเห็นว่าจำเลยมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลเชื่อว่าไม่มีเจตนาหลบหนีจึงให้ยกเลิกหมายจับ จากนั้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
โดยศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุแล้วใช้เท้าข้างหนึ่งยืนอยู่บนฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติ โดยเท้าของจำเลยอยู่บนส่วนหนึ่งของพระบาทพุทธรูป ยกมือขวาขึ้นเลียนแบบพระพุทธรูป ส่วนใบหน้าแสดงท่าทางล้อเลียนถลึงตาอ้าปากเช่นนี้ นอกจากจะไม่เป็นการเคารพพระพุทธรูปแล้ว ยังได้แสดงตนเสมอพระพุทธรูป จึงเป็นการกระทำอันไม่สมควร และเป็นการดูหมิ่นพุทธศาสนา
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่มีเจตนาดูหมิ่นฯ เนื่องจากจำเลยไปทำการรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองให้แก่ผู้เลื่อมใส โดยทำพิธีเพ่งรวมอำนาจจิต แล้วทำให้ตัวจำเลยลอยไปยืนบนฐานพระพุทธรูปหรือ เหตุที่จำเลยต้องถลึงตาอ้าปาก ก็มาจากการที่จำเลยกลั้นลมหายใจ เพื่อรวบรวมพลังจิตนั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนมาหักล้างพยานโจทก์ได้ จึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ภายหลังนายกิตติ เปิดเผยว่า ตอนนี้รู้สึกโล่งอก และสบายใจที่เป็นอิสระแล้ว ซึ่งโทษจำคุกที่ศาลรอลงอาญาไว้ 2 ปีนั้น ก็ครบกำหนดไปแล้ว ต่อจากนี้ก็จะกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเลี้ยงดูบุตรทั้ง 5 คนต่อไป