จารบุรุษ
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยืนตามศาลชั้นต้น ศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลฎีกาพิพากษายืนให้ ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีเวชมืออันดับต้นของไทย จำเลยในคดีฆ่าชำแหละศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ สูตินรีเวชโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร ภรรยาของตนเองนั้น ข้อวินิจฉัยส่วนใหญ่ที่นำไปสู่การพิพากษา ล้วนมาจากพยานหลักฐานตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ เช่น ภาพวงจรปิดในร้านโออิชิ บันทึกหลักฐานการส่งเพจเจอร์ หรือจดหมาย และที่สำคัญหลัก “นิติวิทยาศาสตร์” โดยเฉพาะคราบเลือดในอาคารวิทยนิเวศน์ ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชิ้นเนื้อเยื่อในบ่อเกรอะของบ่อบำบัดน้ำเสียโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งเป็นผลชี้วัดตัวสำคัญที่ถูกระบุว่า พญ.ผัสพร นั้นเสียชีวิตแล้ว
เนื้อเยื่อในบ่อเกรอะนี่แหละที่ตำรวจนำไปตรวจดีเอ็นเอ “แม้ผลที่ออกมา ทั้งจากคราบเลือด ชิ้นเนื้อ และเส้นผม จะมีสัดส่วนแตกต่างกันไปบ้าง แต่เมื่อนำผลตรวจมาเปรียบเทียบกันแล้วพบว่า ดีเอ็นเอตรงกันกับของผู้ตาย และดีเอ็นเอไม่ปฏิเสธความเป็นบิดาและบุตรของผู้ตาย ซึ่งการตรวจหาดีเอ็นเอได้มาโดยการพิสูจน์ทางเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้” นี่คือส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลฎีกา
คดีนี้ไม่มีใครพบเห็นศพ หรือพบชิ้นส่วนศพทั้งกระดูก หรือกะโหลกศีรษะของ พญ.ผัสพร แต่การนำสืบของพยานโจทก์ด้วยนิติวิทยาศาสตร์ ตามข้อเท็จจริง ก็สามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นชัดได้ว่า พญ.ผัสพร เสียชีวิตแล้ว
พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวหลังทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาว่า คดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งในการรวบรวมพยานหลักฐานส่วนใหญ่เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องถือเป็นผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นคดีตัวอย่างของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า หากพยายามทำคดีให้ถึงที่สุดก็จะสามารถคลี่คลายคดีได้ ยกเว้นบางคดีที่ไม่มีพยานหลักฐานก็อาจทำงานลำบากบ้าง
คดีนี้ จัดว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกคดีหนึ่งในฐานะคดี “ฆาตกรหมอ” ที่โด่งดังไม่แพ้คดี “นวลฉวี” พยาบาลสาวถูกจ้างวานฆ่าโดยสามี คือ “นพ.อธิป สุญาณเศรษฐกร” แพทย์โรงพยาบาลรถไฟ คดี “ศยามล” นางศยามล ลาภก่อเกียรติ ถูก นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ จ้างวานฆ่า ในปี 2536 ศาลตัดสินประหารชีวิตเช่นเดียวกัน ถัดมาคดี “เสริม ฆ่าหั่นศพ” ปี 2541 นายเสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคดี “หมอแฮม” หรือนพ.ศรชาติ ศิริโชค ฆ่าเผา พญ.พัทธนันท์ ไชยวงศ์ ที่ จ.แพร่ ศาลตัดสินจำคุก 35 ปี 4 เดือน คดีทั้งหมด ผู้ตายล้วนถูกพบเป็นศพ หรือพบชิ้นส่วน มีพยานบุคคล พยานแวดล้อม และประจักษ์พยาน ในขณะที่คดี “หมอวิสุทธิ์” ศาลพิพากษาได้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ดคี “หมอวิสุทธิ์” ถือว่าได้ปิดฉากลงโดยสมบูรณ์แบบแล้ว คำพิพากษาของศาลฎีกา จะเป็นบรรทัดฐานของหลักฐานทางนิติวิทยาศาตร์ต่อไปได้ในภายภาคหน้า ในขณะที่ยังมีคดีคึกโครมอีกคดี ที่ญาติผู้เสียหาย หวังว่าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะสามารถนำคนผิดมาลงอาญาได้ นั่นก็คือ คดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ที่ทุกวันนี้คดีอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ
เดิมที คดีนี้พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รอง ผอ.สำนักนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม มีความเชื่อมั่นว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จะสามารถลากคอผู้ที่อุ้มทนายสมชาย และเชื่อว่าจะเป็นผู้ลงมือสังหารมาลงโทษตามความผิดได้ แต่ก็นั่นแหละ ด้วยเหตุผลกลใดคดีนี้จึงค้างเติ่งอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้?
คดีการหายตัวไปของทนายสมชาย จึงเป็นอีกความหวังของสังคมที่ต้องการให้รัฐนำตัวคนผิดมาลงโทษให้จงได้ ด้วยเรายังเชื่อมั่นว่า “นิติวิทยาศาสตร์” จะเป็นกระบอกไฟฉายสาดส่องหา “ฆาตกรในคราบสีกากี” มาดำเนินคดีให้ได้ แม้จะต้องรอต่อไปอีกก็ตาม....


คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยืนตามศาลชั้นต้น ศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลฎีกาพิพากษายืนให้ ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีเวชมืออันดับต้นของไทย จำเลยในคดีฆ่าชำแหละศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ สูตินรีเวชโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร ภรรยาของตนเองนั้น ข้อวินิจฉัยส่วนใหญ่ที่นำไปสู่การพิพากษา ล้วนมาจากพยานหลักฐานตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ เช่น ภาพวงจรปิดในร้านโออิชิ บันทึกหลักฐานการส่งเพจเจอร์ หรือจดหมาย และที่สำคัญหลัก “นิติวิทยาศาสตร์” โดยเฉพาะคราบเลือดในอาคารวิทยนิเวศน์ ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชิ้นเนื้อเยื่อในบ่อเกรอะของบ่อบำบัดน้ำเสียโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งเป็นผลชี้วัดตัวสำคัญที่ถูกระบุว่า พญ.ผัสพร นั้นเสียชีวิตแล้ว
เนื้อเยื่อในบ่อเกรอะนี่แหละที่ตำรวจนำไปตรวจดีเอ็นเอ “แม้ผลที่ออกมา ทั้งจากคราบเลือด ชิ้นเนื้อ และเส้นผม จะมีสัดส่วนแตกต่างกันไปบ้าง แต่เมื่อนำผลตรวจมาเปรียบเทียบกันแล้วพบว่า ดีเอ็นเอตรงกันกับของผู้ตาย และดีเอ็นเอไม่ปฏิเสธความเป็นบิดาและบุตรของผู้ตาย ซึ่งการตรวจหาดีเอ็นเอได้มาโดยการพิสูจน์ทางเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้” นี่คือส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลฎีกา
คดีนี้ไม่มีใครพบเห็นศพ หรือพบชิ้นส่วนศพทั้งกระดูก หรือกะโหลกศีรษะของ พญ.ผัสพร แต่การนำสืบของพยานโจทก์ด้วยนิติวิทยาศาสตร์ ตามข้อเท็จจริง ก็สามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นชัดได้ว่า พญ.ผัสพร เสียชีวิตแล้ว
พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวหลังทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาว่า คดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งในการรวบรวมพยานหลักฐานส่วนใหญ่เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องถือเป็นผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นคดีตัวอย่างของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า หากพยายามทำคดีให้ถึงที่สุดก็จะสามารถคลี่คลายคดีได้ ยกเว้นบางคดีที่ไม่มีพยานหลักฐานก็อาจทำงานลำบากบ้าง
คดีนี้ จัดว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกคดีหนึ่งในฐานะคดี “ฆาตกรหมอ” ที่โด่งดังไม่แพ้คดี “นวลฉวี” พยาบาลสาวถูกจ้างวานฆ่าโดยสามี คือ “นพ.อธิป สุญาณเศรษฐกร” แพทย์โรงพยาบาลรถไฟ คดี “ศยามล” นางศยามล ลาภก่อเกียรติ ถูก นพ.บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ จ้างวานฆ่า ในปี 2536 ศาลตัดสินประหารชีวิตเช่นเดียวกัน ถัดมาคดี “เสริม ฆ่าหั่นศพ” ปี 2541 นายเสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคดี “หมอแฮม” หรือนพ.ศรชาติ ศิริโชค ฆ่าเผา พญ.พัทธนันท์ ไชยวงศ์ ที่ จ.แพร่ ศาลตัดสินจำคุก 35 ปี 4 เดือน คดีทั้งหมด ผู้ตายล้วนถูกพบเป็นศพ หรือพบชิ้นส่วน มีพยานบุคคล พยานแวดล้อม และประจักษ์พยาน ในขณะที่คดี “หมอวิสุทธิ์” ศาลพิพากษาได้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ดคี “หมอวิสุทธิ์” ถือว่าได้ปิดฉากลงโดยสมบูรณ์แบบแล้ว คำพิพากษาของศาลฎีกา จะเป็นบรรทัดฐานของหลักฐานทางนิติวิทยาศาตร์ต่อไปได้ในภายภาคหน้า ในขณะที่ยังมีคดีคึกโครมอีกคดี ที่ญาติผู้เสียหาย หวังว่าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะสามารถนำคนผิดมาลงอาญาได้ นั่นก็คือ คดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ที่ทุกวันนี้คดีอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ
เดิมที คดีนี้พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รอง ผอ.สำนักนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม มีความเชื่อมั่นว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จะสามารถลากคอผู้ที่อุ้มทนายสมชาย และเชื่อว่าจะเป็นผู้ลงมือสังหารมาลงโทษตามความผิดได้ แต่ก็นั่นแหละ ด้วยเหตุผลกลใดคดีนี้จึงค้างเติ่งอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้?
คดีการหายตัวไปของทนายสมชาย จึงเป็นอีกความหวังของสังคมที่ต้องการให้รัฐนำตัวคนผิดมาลงโทษให้จงได้ ด้วยเรายังเชื่อมั่นว่า “นิติวิทยาศาสตร์” จะเป็นกระบอกไฟฉายสาดส่องหา “ฆาตกรในคราบสีกากี” มาดำเนินคดีให้ได้ แม้จะต้องรอต่อไปอีกก็ตาม....