ศาลฎีกาพิพากษายืน ประหารชีวิตสถานเดียว“หมอวิสุทธิ์” ฆ่าชำแหละศพ “พญ.ผัสพร” เมียตัวเอง ทิ้งชิ้นเนื้อบ่อเกรอะโรงแรมหรู “ทนายหมอวิสุทธิ์” เตรียมยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ อ้างคุณประโยชน์วิชาชีพแพทย์ช่วยผู้ป่วยต้องขัง ขณะที่พ่อเหยื่อ น้ำตาคลอเบ้า ขอบคุณศาล-ตร.ให้ความเป็นธรรม กลับบ้านจุดธูปบอกวิญญาณลูกคนผิดรับกรรมแล้ว
วันนี้ (25 ก.ค.50) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ 2236-7 / 2550 ระหว่างนายโชติ วัฒนเชษฐ์ และพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินารีแพทย์ รพ.จุฬา ฯ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่า พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ อดีตสูตินารีแพทย์ ร.พ.บุรฉัตรไชยากร หรือ รพ.รถไฟ ภรรยาตนเองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซ่อนเร้น ทำลายศพ กักขังหน่วงเหนี่ยว ปลอมแปลงเอกสาร
คดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ประหารชีวิตจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบและที่จำเลยรับในฎีกาฟังเป็นที่ยุติว่า จำเลยและผู้ตายเป็นสามีภรรยากันโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2524 มีบุตรด้วยกัน 2 คน และเมื่อปลายปี 2541 ผู้ตายและจำเลยเริ่มขัดแย้งกัน โดยผู้ตายเข้าใจว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหญิงอื่นซึ่งเป็นคนไข้ของจำเลย โดยเมื่อวันที่ 27 ก.พ.42 ผู้ตายให้จำเลยลงชื่อรับรองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับหญิงคนดังกล่าวอีก ซึ่งวันที่ 27 พ.ย.42 ผู้ตายจดทะเบียนยกที่ดินน.ส.3 ก. เนื้อที่ 41 ไร่เศษ ต.สันมะเค็ด อ.พาน จ.เชียงราย ให้เป็นสิทธิ์ของจำเลย หลังจากนั้นวันที่ 1 ก.ค.42 จำเลยย้ายออกจากบ้านพักแพทย์ ร.พ.บุรฉัตรไชยากร (ร.พ.รถไฟ) ที่เคยร่วมอาศัยอยู่กับผู้ตายและบุตร ซึ่งระหว่างที่แยกกันอยู่ผู้ตายกับจำเลยยังคงมีเรื่องขัดแย้งกัน ซึ่งจำเลยเคยใช้เหล็กดัมเบลล์ทุบรถยนต์ผู้ตายเสียหาย โดยเมื่อวันที่ 8 เม.ย.43 ผู้ตายได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สน.บางซื่อ และจำเลยยังได้เคยเขียนจดหมายด่าว่าผู้ตายที่ไม่ยอมหย่าขาดจากจำเลยด้วยถ้อยคำรุนแรง ซึ่งระหว่างนี้จำเลยได้ยื่นฟ้องหย่ากับผู้ตายด้วย แต่ภายหลังได้มีการบันทึกประนีประนอมกัน หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.พ.44 จำเลยกับผู้ตายไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารโออิชิ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งหลังรับประทานอาหารเสร็จ จำเลยกับผู้ตายเดินออกจากร้านไปด้วยกัน โดยไม่มีผู้ตายพบเห็นผู้ตายอีก และวันเดียวกันจำเลยได้เปิดห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นวันที่ 21 ก.พ.44 จำเลยคืนห้องพักและไปเปิดห้องพักเลขที่ 1631 โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ที่ได้จองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.44 โดยจำเลยได้คืนห้องพักดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ก.พ.44 เวลา 06.00 น. โดยวันเดียวกันจำเลยได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ร.พ.รถไฟว่าผู้ตายไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรเมื่อวันที่ 21 ก.พ.44 จำเลยจึงไปแจ้งความต่อสน.พญาไทว่าผู้ตายหายตัวไป โดยเมื่อวันที่ 26 ก.พ.44 ร.พ.รถไฟได้รับจดหมาย 2 ฉบับ ลงลายมือชื่อผู้ตายส่งถึง ผอ.ร.พ.แจ้งขอลาหยุดงาน 15 วัน
คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ผู้ตายปราศจากเสรีภาพในร่างกายและฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หรือไม่ โดยจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองได้ยืนยันว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องนี้โดยเชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วจริง โดยจำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งอย่างแจ้งชัดว่าผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากคำแก้อุทธรณ์ของนายโชติ โจทก์ที่ 1 ว่าจำเลยลงลายมือชื่อเมื่อวันที่ 19 พ.ค.47 ยินยอมให้นายชัชวาล บุตรชายเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย จึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ดังนั้นคดีจึงรับฟังได้ว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย
ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าการตรวจพิสูจน์คราบโลหิตและชิ้นเนื้อที่ระบุว่าเป็นดีเอ็นเอของผู้ตายไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจไม่น่าจะตรวจพบคราบโลหิตและชิ้นเนื้อจากอาคารวิทยนิเวศน์และรร.โซฟิเทล ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้ความจาก พ.ต.ท.กฤษฎา ริบรวมทรัพย์ เจ้าพนักงานตำรวจประจำกองพิสูจน์หลักฐาน พยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.44 เวลา 07.30 น. พยานได้ร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจหน่วยต่างๆ ตรวจห้องพัก 318 อาคารวิทยนิเวศน์ที่จำเลยเข้าพักเมื่อวันที่ 20 ก.พ.44 โดยใช้น้ำยาเคมีตรวจสอบปรากฏพบคราบโลหิตในท่อน้ำทิ้งบริเวณที่ยืนอาบน้ำในห้องน้ำและที่ม่านพลาสติกจึงนำไปตรวจพิสูจน์ต่อที่ห้องปฏิบัติการ ขณะเดียวกันยังได้ความจากคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถาบันนิติเวชวิทยาอีก 2 ปากว่าในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เจ้าพนักงานตำรวจหลายหน่วยงานร่วมกันตรวจสอบเปิดบ่อเกรอะโดยให้เจ้าหน้าที่ของกทม.สูบน้ำออกจากบ่อเกรอะจนพบชิ้นเนื้อ 30 ชิ้น ส่งให้พฐ.ตรวจสอบเช่นเดียวกับการตรวจสอบที่รร.โซฟิเทล ซึ่งเรื่องนี้จำเลยได้เคยแถลงต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 21 มี.ค.46 ยอมรับถึงความถูกต้องของการทำบันทึกเอกสารการตรวจค้นดังกล่าว ดังนั้นจึงเห็นว่าการที่เจ้าพนักงานเข้าตรวจสถานที่ทั้ง 2 แห่ง เนื่องมาจากได้สืบสวนแล้วทราบว่าจำเลยเข้าพักในสถานที่ดังกล่าวช่วงวันเวลาที่ใกล้เคียงกับการหายตัวไปของผู้ตายจึงเป็นการเข้าตรวจค้นหาพยานหลักฐานต ามข้อมูลที่สืบสวนทราบมา ซึ่งเจ้าพนักงานที่ตรวจค้นมาจากหลายหน่วยงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายและไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์คนใดจะรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับ จำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะสมคบกันสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องได้รับโทษคดีอุกฉกรรจ์ ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์ของกลางหลายรายการก็ไม่เป็นผลร้ายต่อจำเลย เชื่อว่าเจ้าพนักงานตำรวจทำรายงานไปตามความจริง
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคำเบิกความพ.ต.ท.กฤษฎาที่ว่าพบคราบโลหิตนั้นไม่น่าเชื่อถือเพราะตามภาพถ่ายห้องน้ำเห็นว่าท่อน้ำทิ้งที่อ้างดังกล่าวมีรังผึ้งปิดท่อน้ำถึง 2 ชั้น ไม่น่าสามารถใช้มือล้วงเข้าไปได้ อีกทั้งเมื่อจำเลยคืนห้องพักอาคารวิทยนิเวศน์แล้วยังมีผู้เข้าพักต่ออีกหลายราย ซึ่งทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้เข้าพักใหม่ต้องมีการทำความสะอาดห้องพักโดยใช้น้ำยาล้างห้องน้ำที่จะทำให้ชำระคราบโลหิตหมดไป ประกอบกับไม่ปรากฏว่ามีกลิ่นคาวโลหิตมนุษย์จนเป็นที่ปกติ ศาลฎีกาพิเคราะห์ภาพถ่ายท่อน้ำทิ้งแล้วเห็นว่าแม้จะมีรังผึ้งอยู่ทั้ง 2 ชั้น แต่ชั้นบนถูกถอดออก ส่วนชั้นในอยู่ลึกลงไปจากปากท่อเล็กน้อย ซึ่งเชื่อว่าคราบโลหิตน่าจะกรองอยู่ที่ขอบรังผึ้งชั้นใน แม้ภาพถ่ายไม่เห็นได้ว่ามีการโบกปูนยึดรังผึ้งชั้นในหรือไม่แต่เห็นว่าหากมีปูนยึดรังผึ้งไว้ก็สามารถสกัดให้หลุดออกได้โดยไม่ยาก จึงเชื่อว่าสามารถถอดรังผึ้งชั้นในออกได้ ดังนั้นคำเบิกความของพยานที่ระบุว่าพยานใช้มือล้วงเข้าไปในท่อน้ำทิ้งและใช้กระดาษกรองเช็ดคราบเลือดออกมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ สำหรับประเด็นที่จำเลยโต้แย้งเรื่องการใช้น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำทุกครั้งนั้นก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะสามารถชำระคราบโลหิตได้หมดหรือไม่ ส่วนที่ไม่ปรากฏกลิ่นคาวโลหิตจนเป็นที่ผิดปกตินั้น เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถาบันนิติเวชวิทยา พยานโจทก์เบิกความว่าหากมีการชำแหละศพบุคคลที่ตายแล้วโลหิตจะไม่ฉีดพุ่งกระจายออกมาแต่จะไหลหรือหยดออกมาเท่านั้นซึ่งอาจมีโลหิตออกมาจากศพไม่มากและล ้างทำความสะอาดได้ง่าย
ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าการตรวจสอบชิ้นเนื้อที่ได้จากรร.โซฟิเทลไม่น่าเชื่อถือ โดยอ้างว่าพยานโจทก์ที่ตรวจสอบเบิกความแตกต่างกันในประเด็นการได้มาของชิ้นเนื้อ เห็นว่าพยานโจทก์ต่างเบิกความถึงการตรวจพบและได้มาของชิ้นส่วนที่สงสัยว่าเป็นเนื้อมนุษย์คนละจำนวนกัน โดยการตรวจที่รร.โซฟิเทล วันที่ 26 มี.ค.44 ได้แยกตรวจหาชิ้นเนื้อเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เจ้าหน้าที่กทม.สูบน้ำจากบ่อเกรอะแล้วใช้ตะกร้ากรองเศษชิ้นส่วนต่างๆ ส่วนที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ น.1 สูบน้ำและสิ่งปฏิกูลจากบ่อเกรอะของรร.โซฟิเทล แล้วนำไปยังโรงงานกำจัดสิ่งปฏิกูลของกทม. ซ.อ่อนนุช 86 และส่วนที่ 3 คือที่รร.โซฟิเทล ว่าจ้างให้เอกชนทำความสะอาดบ่อบำบัดน้ำเสียและนำไปทิ้งที่กองดิน ซ.อ่อนนุช 65
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่ารร.โซฟิเทลมีบ่อใหญ่บำบัดน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งไม่เคยมีการดูดหรือสูบเพื่อนำไปทิ้งที่อื่นมานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยจำเลยได้บันทึกเป็นคำยืนยันของหัวหน้าช่างฝ่ายวิศวกรรมรร.โซฟิเทลไว้ในเอกสารท้ายอุทธรณ์ด้วยว่าโถส้วมห้องพักเป็นคอห่านรูปตัวยู ลึก 6 ซ.ม. ท่อกว้าง 3 ซ.ม. โดยชิ้นเนื้อที่มีขนาดก้อนใหญ่เกินกว่า 021/2 ซึ่งไม่ระบุหน่วยมาตรา ไม่สามารถไหลผ่านลงคอห่านได้ ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงจำเลยไม่เคยอ้างหรือถามค้านพยานโจทก์ผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่จำเลยพึ่งนำบันทึกปากคำของหัวหน้าช่างดังกล่าวส่งประกอบในท้ายเอกสารอุทธรณ์ ดังนั้นเมื่อชั้นพิจารณาไม่ปรากฏว่าชิ้นเนื้อที่พยานโจทก์ตรวจพบมีขนาดใหญ่เท่าใด จึงไม่อาจสรุปว่าชิ้นเนื้อของกลางจะผ่านโถส้วมไม่ได้ตามข้อกล่าวอ้างของจำเลย
ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอชิ้นเนื้อ คราบเลือด และเส้นผม ได้ผลแตกต่างกัน เห็นว่าแม้ว่าผลตรวจจะมีสัดส่วนแตกต่างกันบ้าง แต่เมื่อนำผลตรวจมาเปรียบเทียบกันแล้วพบว่ายืนยันดีเอ็นเอตรงกันกับของผู้ตาย และดีเอ็นเอไม่ปฏิเสธความเป็นบิดาและบุตรของผู้ตาย จึงไม่มีข้อระแวงว่าพยานโจทก์จะทำรายงานผลการตรวจให้ผิดจากความเป็นจริงเพื่อใช้เป็นหลักฐานปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษในคดีร้ายแรง ซึ่งการตรวจหาดีเอ็นเอได้มาโดยการพิสูจน์ทางเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้
ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ตายและชิ้นเนื้อของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่าตามที่ข้อเท็จจริงวินิจฉัยไว้แล้วว่ามีพนักงานบริการร้านอาหารโออิชิ พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่าเห็นผู้ตายและจำเลยมารับประทานอาหารที่ร้านเมื่อวันที่ 20 ก.พ.44 ซึ่งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เห็นจำเลยประคองผู้ตายเดินออกจากร้านในลักษณะคนเหม่อลอยคล้ายครองสติไม่ได้ ขณะที่ครั้งแรกทั้งคู่ต่างคนต่างเดินเข้ามาในร้าน นอกจากนี้ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ยังระบุด้วยว่าจำเลยเคยสั่งซื้อยาดอร์มิคุมซึ่งเป็นยานอนหลับ 30 เม็ดก่อนผู้ตายจะหายตัวไปประมาณ 2 เดือนเศษ โดยอ้างว่าให้นางเตียง แซ่แต้ มารดาของจำเลยทั้งที่ไม่เคยมีประวัติการใช้ยาตัวนี้มาก่อน ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของแพทย์ที่รักษานางเตียงว่าคนไข้รายนี้มีอาการเป็นหลอดลมอักเสบ ซึ่งไม่ต้องใช้ยาดังกล่าวรักษา ดังนั้นจึงเป็นข้อพิรุธของจำเลย ซึ่งบ่งชี้ว่าจำเลยไม่ได้นำยาไปใช้กับมารดาจริง แต่มีเหตุน่าเชื่อว่านำไปใช้กับผู้ตาย นอกจากนี้พยานโจทก์ต่างๆ ยังชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธของจำเลยอีกหลายประการ เช่นจำเลยใช้มือถือของตัวเองส่งข้อความเข้าเครื่องเพจเจอร์ของจำเลยเองเรื่องช่างซ่อมแซมบ้านเพื่อนำมาเป็นข้ออ้างให้ผู้ตายมาพบที่ร้านอาหารดังกล่าว เช่นเดียวกับข้อพิรุธที่จำเลยซื้อถุงขยะสีดำขนาดใหญ่-ขนาดเล็กอย่างละแพ็ค ก้อนดับกลิ่น และกระดาษทิชชูจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าสินค้าเหล่านี้จะเป็นสิ่งของใช้สอยในชีวิตประจำวันแต่ช่วงเวลาที่จำเลยหาซื้อก็หลังจากผู้ตายหายตัวไปใหม่ๆ ซึ่งหากมีการฆ่าผู้ตายสินค้าเหล่านี้ก็สามารถใช้เป็นประโยชน์กลบเกลื่อนร่องรอยหรือปกปิดการกระทำความผิดของจำเลยได้เป็นอย่างดี ซึ่งตามคำเบิกความของพนักงานสอบสวนระบุว่าจำเลยไม่เคยให้ข้อมูลเรื่องการซื้อสิ่งของเหล่านี้มาก่อน แต่เมื่อตำรวจสืบทราบและสอบปากคำจำเลยได้ให้การกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องรอย
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบเกี่ยวกับจดหมายลางาน 2 ฉบับ เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยไปจ้างผู้อื่นพิมพ์จดหมายและอ้างว่าเป็นของผู้ตายโดยปลอมลายมือชื่อและส่งไปยังที่ทำงานของผู้ตายเป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อมโ ยงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่ากระทำการเช่นนั้นไปเพื่อปกปิดการตายให้แนบเนียนยิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายและเมื่อพิจารณาถึงความขัดแย้งระหว่างจำเลยและผู้ตาย เห็นได้ว่าทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงที่ผู้ตายเข้าใจว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหญิงอื่น กระทั่งมีการทำบันทึกหลักฐานต่อรองกับจำเลยในการแบ่งทรัพย์สิน ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำเลยโกรธแค้นผู้ตายมากยิ่งขึ้น โดยช่วงที่แยกกันอยู่จำเลยได้เขียนจดหมายด่าว่าผู้ตายอย่างรุนแรง จึงชี้ให้เห็นว่าจำเลยหมดความรักใคร่ผู้ตายและมีความเกลียดชังผู้ตายจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีก
สรุปแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมา แม้ส่วนใหญ่จะเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่ก็มีความสอดคล้องต้องกัน และมีเหตุผลต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน โดย เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ที่เป็นข้อพิรุธของจำเลยหลายประการแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้แอบอ้างเรื่องนัดพบช่างซ่อมแซมบ้าน เพื่อหลอกลวงผู้ตายไปพบที่ร้านอาหารโออิชิ วันที่ 20 ก.พ.44 โดยจำเลยลอบนำยานอนหลับดอร์มิคุมใส่ลงไปในอาหารจนผู้ตายครองสติไม่ได้ จากนั้นจำเลยพาผู้ตายไปยังอาคารวิทยนิเวศน์ที่จัดเตรียมไว้ เพื่อทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายให้ปราศจากเสรีภาพ แล้วจำเลยลงมือฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ด้วยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่วางแผนไว้ จากนั้นจำเลยชำแหละแยกศพผู้ตายออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ทิ้งลงโถชักโครกที่ห้องพักอาคารวิทยนิเวศน์และรร.โซฟิเทลในวันที่ 21 ก.พ.44 เพื่อปิดบังการตาย โดยพยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้ประหารชีวิตจำเลย
ภายหลังนายอภิรมย์ ซ้ายคล้าย ทนายความของนพ.วิสุทธิ์ กล่าวว่า นพ.วิสุทธิ์ยอมรับคำพิพากษาศาลฎีกาและทำใจได้ อย่างไรก็ตามเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาประหารชีวิตแล้ว ภายใน 60 วันนี้ นพ.วิสุทธิ์ยังมีโอกาสทูลเกล้าถวายเรื่องราวเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งนพ.วิสุทธิ์ยืนยันแล้วว่าจะถวายเรื่องราวผ่านนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยอาศัยเหตุขณะเป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำได้ใช้วิชาชีพแพทย์รักษาผู้ต้องขังที่ป่วยในสถานพยาบาลเรือนจำกลางบางขวางมาโดยตลอด ก็หวังว่าจะได้รับอภัยโทษ ซึ่งขบวนการคงต้องใช้เวลาเป็นปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการควบคุมตัวนพ.วิสุทธิ์ มาฟังคำพิพากษาวันนี้ มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จำนวน 7 คนเบิกตัวนพ.วิสุทธิ์ ออกมาจากเรือนจำกลางบางขวาง โดยมาถึงห้องพิจารณาคดีเมื่อเวลา 09.00 น.เศษ ซึ่งนพ.วิสุทธิ์ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มหันไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งระหว่างที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจำนวน 72 หน้า ใช้เวลานาน 2 ชั่วโมง สีหน้านพ.วิสุทธิ์เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเรียบเฉย ภายหลังรับทราบคำพิพากษาแล้ว นพ.วิสุทธิ์ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการหวาดวิตกแต่อย่างใด
ขณะที่ นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาพญ.ผัสพร อายุกว่า 80 ปี ได้แสดงสีหน้าปลาบปลื้มใจ และมีน้ำตาคลอเบ้า ที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ที่ให้ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ ซึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบคุณทุกคน” โดยมีพญ.เพียงใจ วัชรสินธุ์ น้องสาวผู้ตายและกลุ่มญาติได้พยุงนายโชติเดินทางกลับไปในทันทีหลังจากรับทราบคำพิพากษา
ด้านนายวีรศักดิ์ โชติวานิช ทนายความนายโชติ กล่าวว่า นายโชติได้ฝากขอบคุณศาลฎีกาที่ให้ความเป็นธรรม และพล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผช.ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ตั้งแต่ต้น และ พ.ต.ท.ชยุตท์ มารยาท พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ในขณะนั้นที่ช่วยติดตามคดี รวมไปถึงพนักงานสอบสวนคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และนิติเวช ในการเก็บหลักฐานพิสูจน์ดีเอ็นเอ ซึ่งนายโชติ จะกลับบ้านไปจุดธูปบอกให้ พญ.ผัสพร บุตรสาวทราบว่าศาลฎีกาได้พิพากษาให้ประหารชีวิตคนที่ฆ่าแล้ว
นายวีรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานพ.วิสุทธิ์ ไม่เคยเข้ามากล่าวขอโทษหรือทักทายนายโชติ ในฐานะอดีตพ่อตาแต่อย่างใด ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่าทั้งสองฝ่ายรู้สึกต่อกันอย่างไร ซึ่งนายโชติก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในฐานะพ่อ ขณะที่ตนได้เข้าไปพูดคุยกับนพ.วิสุทธิ์ ขอให้อโหสิกรรมให้ด้วยหากมีการล่วงเกิน เพราะตนทำไปตามหน้าที่ฐานะทนายความ โดย นพ.วิสุทธิ์ ไม่ได้พูดอะไรแต่ยกมือรับ เชื่อว่า นพ.วิสุทธิ์ อโหสิกรรมให้ อย่างไรก็ตาม นพ.วิสุทธิ์ ยังสามารถ ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษได้ตามกระบวนการต่อไป ส่วนบุตรทั้งสองของ พญ.ผัสพร ทราบว่าปัจจุบันบุตรชายคนโตเรียนจบแล้ว ส่วนบุตรสาวเรียนอยู่ปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งสองคนพักอาศัยอยู่ด้วยกัน
ด้าน พล.ต.ท.จงรัก กล่าวว่า คดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งในการรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนใหญ่เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องถือเป็นผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นคดีตัวอย่างของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าหากพยายามทำคดีให้ถึงที่สุดก็จะสามารถคลี่คลายคดีได้ ยกเว้นบางคดีที่ไม่มีพยานหลักฐานก็อาจทำงานลำบากบ้าง
“ ศาลฎีกา” นัดชี้ชะตา “หมอวิสุทธิ์”ฆ่าหั่นศพเมีย วันนี้
ย้อนรอยก่อนฎีกาพิพากษาชี้ชะตาชีวิต"หมอวิสุทธิ์"!
ลุ้นระทึก! ชีวิต “หมอวิสุทธิ์” ศาลฎีกาตัดสินฆ่า “หมอผัสพร” 25 ก.ค.นี้
“หมอวิสุทธิ์” ชะตาขาด! ศาลอุทธรณ์สั่งประหารชีวิต
ลุ้น!ศาลอุทธรณ์ตัดสินหมอวิสุทธิ์ ฆ่าหั่นศพหมอผัสพร
ชำระคดี “น.พ.วิสุทธิ์” หมอเลือดเย็นฆ่าหั่นเมีย
ถึงคิว!! หมอวิสุทธิ์มือฆ่าหั่นศพภรรยา ศาลอุทธรณ์นัดชี้พรุ่งนี้
ชี้ชะตา "หมอวิสุทธิ์" หลังยื่นอุทธรณ์ 4 ก.ค.นี้
หมอวิสุทธิ์วืดประกัน ศาลหวั่นหลบหนีสั่งยกคำร้อง
'อัยการสูงสุด'แจง สั่งไม่ฟ้องหมอวิสุทธิ์ครั้งแรก
ช่วย "หมอวิสุทธิ์" ปรับตัว-สภาพจิตใจในคุก
ทนายพ่อผัสพร เชื่อหมอวิสุทธิ์สู้คดียันฎีกาแน่
ทนายฯรวบรวมหลักฐานเพิ่มขอประกัน "นพ.วิสุทธิ์"
"ทนายหมอวิสุทธิ์" เตรียมยื่นขอประกันตัวอีกครั้ง เชื่อลูกความบริสุทธิ์
"หมอวิสุทธิ์"ไร้ญาติเข้าเยี่ยมหลังนอนเรือนจำบางขวาง
สวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินประหารชีวิต "หมอวิสุทธิ์"
"พงศ์เทพ" ไม่ติดใจการทำงานของอัยการที่มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง "หมอวิสุทธิ์" ในครั้งแรก
แพทยสภาไม่ถอนใบประกอบโรคศิลป์หมอวิสุทธิ์
คดีตัวอย่าง"ประหารหมอวิสุทธิ์ฆ่าเมีย"
"หมอวิสุทธิ์" คอตกเข้าห้องขัง ศาลชั้นต้นให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาการประกัน
ศาลสั่งประหารชีวิต "หมอวิสุทธิ์" ฆ่าเมีย!!!
ทนายฝ่ายโจทก์มั่นใจศาลจะตัดสินลงโทษขั้นสูงสุดต่อ "นายแพทย์วิสุทธิ์"
ศาลชั้นต้นนัดตัดสินคดีหมอวิสุทธิ์ ฆ่าหมอผัสพร