xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยก่อนฎีกาพิพากษาชี้ชะตาชีวิต"หมอวิสุทธิ์"!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ต้องบอกว่า คดี"หมอวิสุทธิ์" หรือนพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ถือเป็นหนึ่งในคดีอาชญากรรมประวัติศาสตร์ ที่ต้องต่อสู้กันมายาวนาน ตั้งแต่ต้นปี 2544 ในคดีที่นพ.วิสุทธิ์ ตกเป็นผู้ต้องหา ฆ่าชำแหละศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร หรือโรงพยาบาลรถไฟ ภรรยาของตนเอง ซึ่งกว่าตำรวจจะได้หลักฐาน และกุญแจไขปริศนาคดี จนนำไปสู่การจับกุมนพ.วิสุทธิ์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย คดีนี้ ยังถือว่าเป็นคดีแรก ที่มีการนำนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้เป็นหลสักฐานในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาอีกด้วย

มองย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2544 ผู้สื่อข่าวสายตระเวณ ไปพบบันทึกประจำวันของสน.พญาไท ระบุว่า มีคดีสามี ซึ่งเป็นแพทย์มาแจ้งความว่า ภรรยา ซึ่งเป็นแพทย์เช่นกัน หายตัวไป สุดท้ายตำรวจสืบพบว่า ก่อนที่พญ.ผัสพร ผู้เป็นภรรยาจะหายตัวไปนั้น มีนพ.วิสุทธิ์ ซึ่งเป็นผู้แจ้งความ พาพญ.ผัสพรไปรับประทานอาหารที่ร้านโออิชิ ในศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยมีกล้องวงจรปิด จับภาพนพ.วิสุทธิ์ เข้าประคองร่างพญ.ผัสพร ออกจากร้านไป จากนั้น ก็ไม่มีใครได้พบกับพญ.ผัสพรอีกกระทั่งปัจจุบัน...! และนี่ คือจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายคดี

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากตำรวจพบภาพวงจรปิดของนพ.วิสุทธิ์กับพญ.ผัสพรดังกล่าวแล้ว การสืบสวน ทำให้สามารถรู้ถึงแผนการของนพ.วิสุทธิ์ ที่ลงมือเรียกเพจเจอร์เข้าเครื่องตัวเอง เรียกเพจเจอร์ให้พญ.ผัสพรไปพบยังร้านโออิชิ จากนั้นวางยานอนหลับ ให้พญ.ผัสพรมีอาการงวยงง และเข้าประคองร่างพญ.ผัสพรตามที่ภาพวงจรปิดจับไว้ได้ พาไปยังอาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางดึกถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางวัน จากนั้นใช้ของแข็งมีคมเป็นอาวุธ ทำการประทุษร้ายร่างกายพญ.ผัสพรจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และยังได้ใช้ของแข็งมีคมทำการผ่าตัดแล่ชิ้นเนื้อและอวัยวะต่างๆ ของศพผู้ตาย เพื่อทำลายศพหรือส่วนของศพ แล้วจำเลยได้ยักย้าย ซ่อนเร้นศพ นำชิ้นเนื้อ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ของศพไปลอบฝัง ลอบทิ้งในสถานที่ต่างๆ อันเป็นการซ่อนเร้นทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและเหตุแห่งการตาย
ภายในอาคารวิทยบริการ และที่โรงแรมเซ็นทรัลโซฟิเทล ลาดพร้าว

การสืบสวนของตำรวจชุดคลี่คลายคดี พบหลักฐานอีกว่า นพ.วิสุทธิ์ มีความขัดแย้งกับพ.ย.ผัสพรเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน และเรื่องชู้สาว ซึ่งต่อมา ตำรวจตัดสินใจเข้าจับกุมนพ.วิสุทธิ์ในที่สุด แต่เบื้องต้นนพ.วิสุทธิ์ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

ภายหลังการต่อสู้คดีเป็นเวลา 2 ปี ในที่สุด เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 ศาลชั้นต้น ได้อ่านคำพิพากษา สรุปใจความว่า พฤติกรรมของจำเลยต่างๆ เกี่ยวข้องกันตั้งแต่จำเลยหายไปตั้งแต่แรก โดยพฤติกรรมจำเลยแสดงให้เห็นถึงเจตนาและการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่การนัดผู้ตายไปรับประทานอาหารที่ร้านโออิชิ และเปิดห้องพักที่อาคารวิทยนิเวศน์ซึ่งอยู่ใกล้กับร้านโออิชิโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-15 นาที และจำเลยยังไม่คืนกุญแจห้องพัก ล้วนสอดคล้องเชื่อมโยงกับการที่ผู้ตายหายตัวไป มีการฆ่าหั่นเพื่อซ่อนเร้นทำลายศพในห้องน้ำดังกล่าว โดยให้ผู้ตายกินยาดอมิคุ่มจนมีอาการเหม่อลอย แล้วนำตัวไปที่อาคารวิทยนิเวศน์ก่อนฆ่าชำแหละศพ แล้วซื้อถุงดำจำนวนมาก กระดาษทิชชู ก้อนน้ำยาดับกลิ่นจากห้างโรบินสันสีลม เพื่อนำมาใส่ชิ้นส่วนที่ชำแหละแล้ว ก่อนทำจดหมายลางานปลอม แม้ว่าจะไม่พบกระโหลกศีรษะและกระดูกของผู้ตายหรือมีประจักษ์พยาน แต่ก็เพราะจำเลยได้วางแผนแล้วและปกปิดวิธีการอำพรางคดีไว้อีก ทั้งจำเลยและผู้ตายเคยมีสาเหตุทะเลาะเบาะแว้งกัน จึงมีสาเหตุให้จำเลยฆ่าผู้ตายได้ ข้อปฏิเสธของจำเลยเป็นเพียงข้อปฏิเสธลอยๆไม่มีน้ำหนักมาหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ทั้งที่จำเลยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูง ย่อมจะใช้สติยั้งคิดในการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้วิธีดังกล่าว และเมื่อจำเลยถูกจับกุมก็ยังไม่สำนึกผิด ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีตลอดมาจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องปรานี เห็นควรลงโทษสถานหนัก พิพากษาประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว

ต่อมา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2548 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ประหารชีวิตนพ.วิสุทธิ์ โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่า ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่พบมีการชันสูตรพลิกศพ แต่เมื่อชิ้นเนื้อมนุษย์ที่พบในบ่อพักที่อาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซา ซึ่งเมื่อส่งผู้ชำนาญการด้านนิติเวชวิทยาตรวจพิสูจน์แล้วลงความเห็นตรงกับว่าเป็นชิ้นเนื้อของผู้ตายจริง นอกจากนั้น จากการตรวจชิ้นเนื้อและคราบโลหิตที่พบในห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ ก็ตรงกับดีเอ็นเอของแพทย์หญิงผัสพร

ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ดีเอ็นเอและชิ้นเนื้อได้มาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นั้น ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุอันใดที่พนักงานสอบสวนจะกลั่นแกล้งจำเลย อีกทั้งก็ไม่มีเหตุขัดแย้งกับจำเลยมาก่อน ส่วนดีเอ็นเอที่จำเลยอ้างว่าเป็นการเร่งรัดตรวจพิสูจน์และไม่เป็นธรรม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ไม่ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติหน้าที่มีความไม่โปร่งใสแต่อย่างใด

ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าแพทย์หญิงผัสพรเสียชีวิตจริงหรือไม่ ศาลเห็นว่า จากเนื้อเยื่อและผลพิสูจน์ดีเอ็นเอที่ปรากฎในสำนวนคดี รับฟังได้ว่าแพทย์หญิงผัสพรเสียชีวิตแล้ว

นอกจากนี้ มีพยานหลักฐานบ่งชี้ได้ว่าจำเลยได้นำตัวผู้ตายไปขังไว้ที่ห้องพัก 318 อาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะลงมือฆ่า อันเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และกระทำความผิดฐานซ่อนเร้นทำลายศพ และปลอมแปลงเอกสาร จดหมายลางานของผู้ตาย

ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีเหตุจูงใจให้ฆ่าภรรยาตนเอง จากการนำสืบพยานรับฟังได้ว่า จำเลยและผู้ตายมีเรื่องบาดหมางกันมาโดยตลอด โดยจำเลยขอหย่าขาดจากผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมเพราะเป็นห่วงบุตรทั้ง 2 คน อีกทั้งผู้ตายจับได้ว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับคนไข้ที่มีสามีแล้ว โดยผู้ตายขู่ว่าจะนำเรื่องดังกล่าวฟ้องแพทยสภา จนเป็นเหตุทำให้จำเลยมีเรื่องขัดแย้งกับผู้ตายและข่มขู่ผู้ตายมาโดยตลอด ดังนั้น อุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว

วันพรุ่งนี้ (25 ก.ค.) จะเป็นวันที่ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาตัดสินชะตาชีวิตของนพ.วิสุทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย ผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราเชื่อแน่ว่า นพ.วิสุทธิ์รู้แก่ใจตนเองอยู่แล้ว แต่คดีที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์ที่ผ่านมา ล้วนเป็นคำพิพากษานพ.วิสุทธิ์ให้ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทั้งจากหน้าที่การงาน ที่ถือว่า นพ.วิสุทธิ์เป็นสูตินรีแพทย์มืออันดับต้นๆของเมืองไทย อีกทั้งชีวิตและความเป็นอยู่ที่นพ.วิสุทธิ์สร้างหลักสร้างฐานไว้

อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะมองว่า คำพิพากษาของ 2 ศาลที่ให้ประหารชีวิตนพ.วิสุทธิ์นั้น สมควรกับกรรมที่นพ.วิสุทธิ์ได้ก่อไว้แล้ว และหากกรรมที่นพ.วิสุทธิ์ คือการสังหารพญ.ผัสพรนั้น นพ.วิสุทธิ์เป็นผู้ลงมือฆ่าจริง นพ.วิสุทธิ์ไม่ได้ฆ่าและสังหารเฉพาะพญ.ผัสพรเท่านั้น แต่การกระทำของนพ.วิสุทธิ์ได้สังหารบุตรและธิดาของตนเอง รวมทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องของพญ.ผัสพรไปโดยไม่รู้ตัวด้วย



กำลังโหลดความคิดเห็น