อดีตบิ๊กตำรวจหลากหลายสมัย ยังคงไปร่วมประชุมปรึกษาและหารือถึงการปรับโครงสร้างตำรวจ และพ.ร.บ.ตำรวจ ย้ำไม้ได้คัดค้าน หรือปฏิเสธการพัฒนา แต่ต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจริง ลั่นองค์กรตำรวจไม่ใช่องค์กรที่ทำหน้าที่รับฟังคำสั่งอย่างทหาร แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม แต่ยอมรับ เคยถูกนายกรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชาโดยตรง สั่งให้เลี่ยงการใช้กฏหมาย จนนำไปสู่การปลด อ.ตร. หรือ ผบ.ตร.
วันนี้ (12 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องรับรองสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต มีการประชุมกลุ่มอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่เพื่อมีความเห็นต่อกรณีการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจ และการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ(ฉบับที่)พศ..... ของคณะกรรมการพัฒนา ระบบงานตำรวจ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 2 เพื่อฟังความคืบการทำงานของคณะทำงานศึกษาวิเคราะห์ ร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯ สมาคมตำรวจ หลังจากที่มีการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ มีอดีตอธิบดีกรมตำรวจ(อ.ตร.) อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(อดีตผบ.ตร.) และอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมประชุมมากว่า 40 นาย มีพล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย ดูแลกรมตำรวจ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ และมี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นประธานการประชุม มีพล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอ.ตร. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตตานนท์ อดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ พล.ต.อ.สล้าง บุญนาค พล.ต.อ.โกวิทย์ ภักดีภูมิ พล.ต.อ.วิรุณ พื้นแสน อดีตรองอ.ตร. พล.ต.อ.สมชาย มิลินทางกูร พล.ต.อ.สมชาย วานิชเสนีย์
พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ พล.ต.อ. อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผบ.ตร. พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ พล.ต.ท.เหมราช ธารีไทย พล.ต.ท.บุญศรี หุ่นสวัสดิ์ อดีตผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก พล.ต.ท.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา อดีตผบช. ขณะที่นายตำรวจในราชการมี พล.ต.ท.อัมรินทร์ เนียมสกุล ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ปรัชญา สุทธปรีดา ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ร่วมประชุมใช้เวลาประชุมนานกว่า 5 ชั่วโมง
พล.ต.อ. ประมาณ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่เห็นการรวมตัวของอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และขอให้ตำรวจทั้งหมดร่วมมือ กัน ที่จะทำให้การพัฒนาองค์กรตำรวจเป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น
พล.ต.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะตำรวจผู้ใหญ่ ไม่ได้คัดค้านการปรับปรุงตำรวจ เราไม่ปฏิเสธการพัฒนา แต่จะปรับปรุงอย่างไรให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม และวิถีชีวิตคนไทย เห็นด้วยที่จะทำให้ดีขึ้นโดยเฉพาะการปรับเงินเดือน เพิ่มสวัสดิการและปรับคุณวุฒิให้กับตำรวจชั้นประทวน แต่เรื่องนี้ก็เป็นข้อกังขาที่มีตำรวจชั้นผู้น้อยส่งจดหมายมาถาม ว่าทำได้จริงหรือ และพวกตนก็ทราบดีว่าเรื่องนี้รัฐบาลทำไม่ได้ งบประมาณไม่มี และไม่มีการตั้งงบประมารรองรับส่วนนี้ไว้ด้วย ทั้งยังมีข้อกำจัดต่างๆ ดังนั้นการออกกฎหมายอย่างนี้ก็แค่ยาหอมเรียกเสียงสนับสุนนจากตำรวจชั้นผู้น้อยเท่านั้น
“แทนที่จะมาแก้ปัญหาการขาดแคลน อุปกรณ์การทำงาน บริการประชาชน ของตำรวจ ที่เป็นปัญหาอยู่จริงๆอยู่ กลับคิดแต่การกระจายอำนาจ ทั้งที่ทุกวันนี้ตำรวจทำงานด้วยทรัพยากรที่จำกัดมาก ค่าน้ำมันหลวงที่ยังเบิกได้เท่าเดิมขณะน้ำมันแพงขึ้นมาก จนทุกวันนี้ตำรวจกำลังฉ้อโกงประชาชนด้วยการ นำรถสายตรวจไปจอดเปิด ว. ไปไว้เฉยๆ ถึงเวลาออกเวร ก็ขับรถกลับ เพราะเงินเติมน้ำมันมีไม่พอ จนตำรวจในต่างจังหวัดบางที่ก็ต้องไปของบประมาณมาทำงาน จากอบต.ในที่สุดก็ต้องไปทำงานให้อบต.” อดีตอ.ตร. กล่าวและว่าการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจครั้งนี้ไม่เข้าใจการกระจายอำนาจด้วยวิ๔ประชาธิปไตยที่แท้จริง แทนที่จะกระจายอำนาจ ให้ตำรวจโรงพัก ตำรวจจังหวัด สามารถมีอำนาจนัดสินใจ อำนาจบริหารงาน โดยทำให้ตำรวจเหล่านี้เข้มแข็ง นั่นคือการกระจายอำนาจ แต่กลับไปตัดอำนาจผบ.ตร. แล้วสร้างอธิบดีตำรวจภาคขึ้นมาอีก 11 คน ต้องถามว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศเล็กเหมาะสมหรือไม่ กับการสร้างอธิบดีตำรวจภาคเพิ่มขึ้นมาโดยตัดอำนาจผบ.ตร. เช่นนี้ แต่ก็เพราะพ.ร.บ.นี้มุ่งหั่นอำนาจผบ.ตร.และขจัดอำนาจผู้นำตำรวจแค่นั้น
พล.ต.อ.สวัสดิ์ กล่าวถึงการกระจายอำนาจโดยตั้งอธิบดีภาค ว่า ขณะนี้ตำรวจไทยยังไม่พร้อมสำหรับการแยกขาดอิสระจากกัน เพราะ10แท่งที่จะเกิดใหม่ศักยภาพไม่พอ โดยเฉพาะเรื่องการสืบสวนสอบสวน ทุกวันนี้การสางคดีใหญ่ๆภาคยังไม่สามารถทำได้เอง เรายังเห็นมีการตั้งชุดรองผบ.ตร. ผู้ช่วยผบ.ตร. ระดมทีมจากหลายหน่วยไปช่วยกัน ซึ่งในที่สุดประชาชน เหยื่อในคดีอาชญากรรมก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศักยภาพที่ไม่พอของตำรวจนั่นเอง
พล.ต.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า น่าสงสัยที่รัฐบาลนี้ต้องการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม แต่กลับมุ่งมาที่ตำรวจอย่างเดียว ถามว่าเพราะอะไร หรือเพราะกระบวนการยุติธรรมส่วนอื่น ช่วยรัฐบาลชุดนี้อยู่ใช่หรือไม่ และที่เป็นเช่นนี้ เพราะก่อนมีการรับประหารตำรวจถูกมองแง่ลบ นั่นเพราะอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นตำรวจเก่า และใช้งานตำรวจ และต้องยอมรับตำรวจขัดคำสั่งไม่ได้ เพราะหากขัดนายกรัฐมนตรีก็ต้องถูกให้ออกจากราชการ อย่างตนก็โดนมาแล้ว มันเป็นปัจจัยที่ทำให้ตำรวจต้องทำตามคำสั่ง แม้จะไม่ได้สั่งให้ทำผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นคำสั่งให้เลี่ยงกฎหมาย ยกตัวอย่างก่อนรัฐประหาร ตำรวจถูกสั่งให้ ทำงานช้าๆกับพวกรัฐบาลและดำเนินคดีอย่างรวดเร็วกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และผลที่ได้หลังรัฐประหารตำรวจเป็นจำเลย
“มีความพยายามให้ข่าว ทั้งจริงทั้งลวง ว่าจะให้ตำรวจไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตรงนี้ไม่สำคัญ แต่อยู่ที่ว่าจุดมุ่งหมายของคณะทำงานกระทรวงยุติธรรม บอกว่าไม่ต้องการให้มีการเมืองมาแทรกตำรวจ ทุกวันนี้มีนายกรัฐมนตรี คนเดียว หากไปสังกัดกระทรวงก็ต้องมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอีกคน เป็น 2 คน ขนาดนายกรัฐมนตรีคนเดียวตำรวจก็พังไปแล้ว เพราะที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เข้ามามีคำสั่ง แทรกแซงโดยตรงมากเกินไปจึงเสนอให้ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ซึ่งมีอำนาจในการบริหารงานบุคคล อิสระจากกการเมือง อย่างแท้จริง หรือแม้แต่โครงสร้างคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติก็อยากให้ทบทวนเพราะพิจารณาแล้ว คณะกรรมการที่มามีอำนาจในนโยบายล้วนไม่รู้จริงเรื่องตำรวจ และอิงมาจากการเมือง แม้แต่คนที่มาจากสภาทนายความก็คงจะเป็นคนที่มาจากทนายจำเลยที่เป็นฝ่ายตรงข้ามของตำรวจ ซึ่งนอกจากนี้การปรับปรุงตำรวจของรัฐบาลครั้งนี้ ยังมีสิ่งหมกเม็ดอีกเยอะที่ตนไม่อยากพูด และเป็นอันตรายต่อกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยอย่างมาก
ขณะที่ พล.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้รับคำกล่าวเชิญ ทั้งจากพล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และจากคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจให้ไปร่วมสัมมนาปรับโครงสร้างตำรวจฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 18 กรกฎาคม นี้ด้วย แต่เมื่อตนได้พิจารณา จากกำหนดการสัมมนา ก็พบว่ามีแต่หัวข้อและช่วงเวลาที่ ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจมาพูดมาชี้แจงร่างกฎหมาย 2 ฉบับให้ทราบ และยกเหตุผลที่ต้องปรับโครงสร้าง เชิญเราไปเพื่อไปพูดให้เราฟังเท่านั้น และเป็นข้อมูลที่ตนก็รู้อยู่แล้ว ส่วนตำรวจ ที่เชิญไปก็ให้พล.ต.อ.ประชา และพล.ต.อ.สวัสดิ์ ขึ้นพูด รวมกันแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่าแทบไม่ให้โอกาสตำรวจได้เสนอความเห็นเลย เพราะมีการตั้งธงไว้แล้วว่าในที่สุดก็จะทำอย่างที่คณะกรรมการฯเสนอ
“หากเป็นเช่นนี้ตนก็คงไม่ไปร่วม เพราะดูแล้วได้ประโยชน์อะไร ซึ่งการที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจทำเช่นนี้เป็นเพียงลูกเล่น ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นแล้ว เท่านั้น หากเป็นไปได้หากมีโอกาสผมพยายามเรียนนายกรัฐมนตรีว่าวันที่ 18 ก.ค. นี้ เป็นไปได้หรือไม่ ที่ช่วงบ่ายของการสัมมนานายกรัฐมนตรี มานั่งหัวโต๊ะจริงๆ และเปิดให้พวกผม ไปร่วมโต๊ะ แสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้รับฟังข้อเท็จจริง ทำความเข้าใจปัญหา แล้วจากนั้นนายกรัฐมนตรีจะได้ไปตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร แทนที่จะเอาเวลาไปจัดประชุมกลุ่มย่อย ซึ่งไม่ใช่การให้แสดงความคิดเห็นของตำรวจอย่างแท้จริง “ อดีตผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตนไปออกรอบตีกอล์ฟกับนายกรัฐมนตรี ก็ขอให้ท่านพิจารณาให้รอบคอบ ซึ่งที่ตนพยายามทำต้องการเสนอแนะไม่ใช่การคัดค้าน ตนเห็นด้วยกับการปรับปรุงงานตำรวจ แต่อยากบอกว่าต้องปรับปรุงอย่างไร โดยเห็นว่าสิ่งที่ควรทำคือการเอาการเมือง ออกไปจากอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้ได้ ที่ควรต้องทำให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตำรวจ ตนจะเสนอไม่เหมือนกับที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจทำอยู่ ที่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้การเมืองเข้ามาล้วงการแต่งตั้งมากขึ้น
ด้านพล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า พิจารณากำหนดการเวทีหารือที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 18 ก.ค.นั้น พบว่าปิดโอกาสให้ตำรวจแสดงความคิดเห็น ที่ประชุมจะเสนอ ตัวแทนสมาคมตำรวจ ร่วมขึ้นเวทีด้วย เพราะดูแล้ว จากกำหนดการองค์ประกอบผู้ที่จะขึ้นเวทีมีแต่คณะทำงานยกร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ(ฉบับที่)พ.ศ...... และมีอดีตผบ.ตร.และอ.ตร. ร่วมด้วยเงื่อนเวลาจำกัดเท่านั้น เราจึงจะทำบันทึกเสนอรัฐบาลและคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจพิจารณาว่าจะให้โอกาสเรามากน้อยเพียงใด
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวด้วยว่า หากเราได้รับโอกาสเข้าไปร่วมเวทีในวันที่ 18 ก.ค. เราจะหยิบทุกประเด็น จาก 10 ประเด็นแก้ปัญหาตำรวจของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราไม่รู้จะมีโอกาสหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลยังยืนยันจัดประชุมเช่นเดิม ข้อต่อสู้แรกคือรัฐบาลนี้ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร แต่กฎหมายตำรวจเมื่อปี 2547 ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับเราได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยตรง ว่าต้องการรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์กร และอำนาจตำรวจแบบนี้ แต่ถ้ารัฐบาลนี้จะมาทำ ไม่เหมาะสมเพราะไม่ได้รับฉันทานุมัติของประชาชน ขณะที่รัฐบาลชุดนี้รวมทั้งคณะกรรรมการชุดนี้ชอบอ้างประชาชนทั้งที่ข้อเท็จจริงกลัดกระดุมผิดเม็ดตั้งแต่ต้น
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าว กล่าวว่า ที่ประชุมได้หยิบยกผลการประเมินการปฏิบัติงานตำรวจโดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ที่ประเมินจาก 4 มิติ คือ ประสิทธิผล คุณภาพการให้บริการ ประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ การพัฒนาองค์กร ที่พบว่าผลการประเมินเมื่อปี 2549 ตำรวจได้คะแนนถึง 4.76 จาก 5 คะแนนเต็ม จนติดอันดับ 1 ใน 3 ของกว่า 300 หน่วยราชการ เท่ากับว่าตำรวจขณะนี้ทำงานมีประสิทธิภาพแล้ว ดังนั้นการตั้งธง ตั้งสมมุติฐานว่าตำรวจด้อยประสิทธิภาพ ตำรวจไม่ดี ตำรวจบกพร่อง จึงเป็นสมมติฐานที่สวนทางกับผลประเมินของรัฐบาลโดยตรง ขณะที่การแก้ไขปัญหาตำรวจ โดยการถ่ายโอนอำนาจ และทำให้ตำรวจทำงานลำบากขึ้น อ้างว่าป้องกันการเมืองแทรกแซง แต่ข้อเท็จจริงกลับเป็นการแทรกแซงการเมืองครบสูตรและผลกระทบตกที่ประชาชนโดยตรง เพราะลำบากที่ตำรวจจะทำงานได้ถูกต้องและตรง


วันนี้ (12 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องรับรองสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต มีการประชุมกลุ่มอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่เพื่อมีความเห็นต่อกรณีการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจ และการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ(ฉบับที่)พศ..... ของคณะกรรมการพัฒนา ระบบงานตำรวจ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 2 เพื่อฟังความคืบการทำงานของคณะทำงานศึกษาวิเคราะห์ ร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯ สมาคมตำรวจ หลังจากที่มีการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ มีอดีตอธิบดีกรมตำรวจ(อ.ตร.) อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(อดีตผบ.ตร.) และอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมประชุมมากว่า 40 นาย มีพล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย ดูแลกรมตำรวจ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ และมี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นประธานการประชุม มีพล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีตอ.ตร. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตตานนท์ อดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ พล.ต.อ.สล้าง บุญนาค พล.ต.อ.โกวิทย์ ภักดีภูมิ พล.ต.อ.วิรุณ พื้นแสน อดีตรองอ.ตร. พล.ต.อ.สมชาย มิลินทางกูร พล.ต.อ.สมชาย วานิชเสนีย์
พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ พล.ต.อ. อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผบ.ตร. พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ พล.ต.ท.เหมราช ธารีไทย พล.ต.ท.บุญศรี หุ่นสวัสดิ์ อดีตผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก พล.ต.ท.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา อดีตผบช. ขณะที่นายตำรวจในราชการมี พล.ต.ท.อัมรินทร์ เนียมสกุล ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ปรัชญา สุทธปรีดา ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. ร่วมประชุมใช้เวลาประชุมนานกว่า 5 ชั่วโมง
พล.ต.อ. ประมาณ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่เห็นการรวมตัวของอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และขอให้ตำรวจทั้งหมดร่วมมือ กัน ที่จะทำให้การพัฒนาองค์กรตำรวจเป็นไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น
พล.ต.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะตำรวจผู้ใหญ่ ไม่ได้คัดค้านการปรับปรุงตำรวจ เราไม่ปฏิเสธการพัฒนา แต่จะปรับปรุงอย่างไรให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม และวิถีชีวิตคนไทย เห็นด้วยที่จะทำให้ดีขึ้นโดยเฉพาะการปรับเงินเดือน เพิ่มสวัสดิการและปรับคุณวุฒิให้กับตำรวจชั้นประทวน แต่เรื่องนี้ก็เป็นข้อกังขาที่มีตำรวจชั้นผู้น้อยส่งจดหมายมาถาม ว่าทำได้จริงหรือ และพวกตนก็ทราบดีว่าเรื่องนี้รัฐบาลทำไม่ได้ งบประมาณไม่มี และไม่มีการตั้งงบประมารรองรับส่วนนี้ไว้ด้วย ทั้งยังมีข้อกำจัดต่างๆ ดังนั้นการออกกฎหมายอย่างนี้ก็แค่ยาหอมเรียกเสียงสนับสุนนจากตำรวจชั้นผู้น้อยเท่านั้น
“แทนที่จะมาแก้ปัญหาการขาดแคลน อุปกรณ์การทำงาน บริการประชาชน ของตำรวจ ที่เป็นปัญหาอยู่จริงๆอยู่ กลับคิดแต่การกระจายอำนาจ ทั้งที่ทุกวันนี้ตำรวจทำงานด้วยทรัพยากรที่จำกัดมาก ค่าน้ำมันหลวงที่ยังเบิกได้เท่าเดิมขณะน้ำมันแพงขึ้นมาก จนทุกวันนี้ตำรวจกำลังฉ้อโกงประชาชนด้วยการ นำรถสายตรวจไปจอดเปิด ว. ไปไว้เฉยๆ ถึงเวลาออกเวร ก็ขับรถกลับ เพราะเงินเติมน้ำมันมีไม่พอ จนตำรวจในต่างจังหวัดบางที่ก็ต้องไปของบประมาณมาทำงาน จากอบต.ในที่สุดก็ต้องไปทำงานให้อบต.” อดีตอ.ตร. กล่าวและว่าการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจครั้งนี้ไม่เข้าใจการกระจายอำนาจด้วยวิ๔ประชาธิปไตยที่แท้จริง แทนที่จะกระจายอำนาจ ให้ตำรวจโรงพัก ตำรวจจังหวัด สามารถมีอำนาจนัดสินใจ อำนาจบริหารงาน โดยทำให้ตำรวจเหล่านี้เข้มแข็ง นั่นคือการกระจายอำนาจ แต่กลับไปตัดอำนาจผบ.ตร. แล้วสร้างอธิบดีตำรวจภาคขึ้นมาอีก 11 คน ต้องถามว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศเล็กเหมาะสมหรือไม่ กับการสร้างอธิบดีตำรวจภาคเพิ่มขึ้นมาโดยตัดอำนาจผบ.ตร. เช่นนี้ แต่ก็เพราะพ.ร.บ.นี้มุ่งหั่นอำนาจผบ.ตร.และขจัดอำนาจผู้นำตำรวจแค่นั้น
พล.ต.อ.สวัสดิ์ กล่าวถึงการกระจายอำนาจโดยตั้งอธิบดีภาค ว่า ขณะนี้ตำรวจไทยยังไม่พร้อมสำหรับการแยกขาดอิสระจากกัน เพราะ10แท่งที่จะเกิดใหม่ศักยภาพไม่พอ โดยเฉพาะเรื่องการสืบสวนสอบสวน ทุกวันนี้การสางคดีใหญ่ๆภาคยังไม่สามารถทำได้เอง เรายังเห็นมีการตั้งชุดรองผบ.ตร. ผู้ช่วยผบ.ตร. ระดมทีมจากหลายหน่วยไปช่วยกัน ซึ่งในที่สุดประชาชน เหยื่อในคดีอาชญากรรมก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศักยภาพที่ไม่พอของตำรวจนั่นเอง
พล.ต.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า น่าสงสัยที่รัฐบาลนี้ต้องการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม แต่กลับมุ่งมาที่ตำรวจอย่างเดียว ถามว่าเพราะอะไร หรือเพราะกระบวนการยุติธรรมส่วนอื่น ช่วยรัฐบาลชุดนี้อยู่ใช่หรือไม่ และที่เป็นเช่นนี้ เพราะก่อนมีการรับประหารตำรวจถูกมองแง่ลบ นั่นเพราะอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นตำรวจเก่า และใช้งานตำรวจ และต้องยอมรับตำรวจขัดคำสั่งไม่ได้ เพราะหากขัดนายกรัฐมนตรีก็ต้องถูกให้ออกจากราชการ อย่างตนก็โดนมาแล้ว มันเป็นปัจจัยที่ทำให้ตำรวจต้องทำตามคำสั่ง แม้จะไม่ได้สั่งให้ทำผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นคำสั่งให้เลี่ยงกฎหมาย ยกตัวอย่างก่อนรัฐประหาร ตำรวจถูกสั่งให้ ทำงานช้าๆกับพวกรัฐบาลและดำเนินคดีอย่างรวดเร็วกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และผลที่ได้หลังรัฐประหารตำรวจเป็นจำเลย
“มีความพยายามให้ข่าว ทั้งจริงทั้งลวง ว่าจะให้ตำรวจไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตรงนี้ไม่สำคัญ แต่อยู่ที่ว่าจุดมุ่งหมายของคณะทำงานกระทรวงยุติธรรม บอกว่าไม่ต้องการให้มีการเมืองมาแทรกตำรวจ ทุกวันนี้มีนายกรัฐมนตรี คนเดียว หากไปสังกัดกระทรวงก็ต้องมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอีกคน เป็น 2 คน ขนาดนายกรัฐมนตรีคนเดียวตำรวจก็พังไปแล้ว เพราะที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เข้ามามีคำสั่ง แทรกแซงโดยตรงมากเกินไปจึงเสนอให้ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ซึ่งมีอำนาจในการบริหารงานบุคคล อิสระจากกการเมือง อย่างแท้จริง หรือแม้แต่โครงสร้างคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติก็อยากให้ทบทวนเพราะพิจารณาแล้ว คณะกรรมการที่มามีอำนาจในนโยบายล้วนไม่รู้จริงเรื่องตำรวจ และอิงมาจากการเมือง แม้แต่คนที่มาจากสภาทนายความก็คงจะเป็นคนที่มาจากทนายจำเลยที่เป็นฝ่ายตรงข้ามของตำรวจ ซึ่งนอกจากนี้การปรับปรุงตำรวจของรัฐบาลครั้งนี้ ยังมีสิ่งหมกเม็ดอีกเยอะที่ตนไม่อยากพูด และเป็นอันตรายต่อกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยอย่างมาก
ขณะที่ พล.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้รับคำกล่าวเชิญ ทั้งจากพล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และจากคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจให้ไปร่วมสัมมนาปรับโครงสร้างตำรวจฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 18 กรกฎาคม นี้ด้วย แต่เมื่อตนได้พิจารณา จากกำหนดการสัมมนา ก็พบว่ามีแต่หัวข้อและช่วงเวลาที่ ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจมาพูดมาชี้แจงร่างกฎหมาย 2 ฉบับให้ทราบ และยกเหตุผลที่ต้องปรับโครงสร้าง เชิญเราไปเพื่อไปพูดให้เราฟังเท่านั้น และเป็นข้อมูลที่ตนก็รู้อยู่แล้ว ส่วนตำรวจ ที่เชิญไปก็ให้พล.ต.อ.ประชา และพล.ต.อ.สวัสดิ์ ขึ้นพูด รวมกันแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่าแทบไม่ให้โอกาสตำรวจได้เสนอความเห็นเลย เพราะมีการตั้งธงไว้แล้วว่าในที่สุดก็จะทำอย่างที่คณะกรรมการฯเสนอ
“หากเป็นเช่นนี้ตนก็คงไม่ไปร่วม เพราะดูแล้วได้ประโยชน์อะไร ซึ่งการที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจทำเช่นนี้เป็นเพียงลูกเล่น ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นแล้ว เท่านั้น หากเป็นไปได้หากมีโอกาสผมพยายามเรียนนายกรัฐมนตรีว่าวันที่ 18 ก.ค. นี้ เป็นไปได้หรือไม่ ที่ช่วงบ่ายของการสัมมนานายกรัฐมนตรี มานั่งหัวโต๊ะจริงๆ และเปิดให้พวกผม ไปร่วมโต๊ะ แสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้รับฟังข้อเท็จจริง ทำความเข้าใจปัญหา แล้วจากนั้นนายกรัฐมนตรีจะได้ไปตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร แทนที่จะเอาเวลาไปจัดประชุมกลุ่มย่อย ซึ่งไม่ใช่การให้แสดงความคิดเห็นของตำรวจอย่างแท้จริง “ อดีตผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.พรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตนไปออกรอบตีกอล์ฟกับนายกรัฐมนตรี ก็ขอให้ท่านพิจารณาให้รอบคอบ ซึ่งที่ตนพยายามทำต้องการเสนอแนะไม่ใช่การคัดค้าน ตนเห็นด้วยกับการปรับปรุงงานตำรวจ แต่อยากบอกว่าต้องปรับปรุงอย่างไร โดยเห็นว่าสิ่งที่ควรทำคือการเอาการเมือง ออกไปจากอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้ได้ ที่ควรต้องทำให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตำรวจ ตนจะเสนอไม่เหมือนกับที่คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจทำอยู่ ที่กลายเป็นการเปิดโอกาสให้การเมืองเข้ามาล้วงการแต่งตั้งมากขึ้น
ด้านพล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า พิจารณากำหนดการเวทีหารือที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 18 ก.ค.นั้น พบว่าปิดโอกาสให้ตำรวจแสดงความคิดเห็น ที่ประชุมจะเสนอ ตัวแทนสมาคมตำรวจ ร่วมขึ้นเวทีด้วย เพราะดูแล้ว จากกำหนดการองค์ประกอบผู้ที่จะขึ้นเวทีมีแต่คณะทำงานยกร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ(ฉบับที่)พ.ศ...... และมีอดีตผบ.ตร.และอ.ตร. ร่วมด้วยเงื่อนเวลาจำกัดเท่านั้น เราจึงจะทำบันทึกเสนอรัฐบาลและคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจพิจารณาว่าจะให้โอกาสเรามากน้อยเพียงใด
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าวด้วยว่า หากเราได้รับโอกาสเข้าไปร่วมเวทีในวันที่ 18 ก.ค. เราจะหยิบทุกประเด็น จาก 10 ประเด็นแก้ปัญหาตำรวจของคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราไม่รู้จะมีโอกาสหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลยังยืนยันจัดประชุมเช่นเดิม ข้อต่อสู้แรกคือรัฐบาลนี้ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร แต่กฎหมายตำรวจเมื่อปี 2547 ออกโดยสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับเราได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยตรง ว่าต้องการรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์กร และอำนาจตำรวจแบบนี้ แต่ถ้ารัฐบาลนี้จะมาทำ ไม่เหมาะสมเพราะไม่ได้รับฉันทานุมัติของประชาชน ขณะที่รัฐบาลชุดนี้รวมทั้งคณะกรรรมการชุดนี้ชอบอ้างประชาชนทั้งที่ข้อเท็จจริงกลัดกระดุมผิดเม็ดตั้งแต่ต้น
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าว กล่าวว่า ที่ประชุมได้หยิบยกผลการประเมินการปฏิบัติงานตำรวจโดยคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ที่ประเมินจาก 4 มิติ คือ ประสิทธิผล คุณภาพการให้บริการ ประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ การพัฒนาองค์กร ที่พบว่าผลการประเมินเมื่อปี 2549 ตำรวจได้คะแนนถึง 4.76 จาก 5 คะแนนเต็ม จนติดอันดับ 1 ใน 3 ของกว่า 300 หน่วยราชการ เท่ากับว่าตำรวจขณะนี้ทำงานมีประสิทธิภาพแล้ว ดังนั้นการตั้งธง ตั้งสมมุติฐานว่าตำรวจด้อยประสิทธิภาพ ตำรวจไม่ดี ตำรวจบกพร่อง จึงเป็นสมมติฐานที่สวนทางกับผลประเมินของรัฐบาลโดยตรง ขณะที่การแก้ไขปัญหาตำรวจ โดยการถ่ายโอนอำนาจ และทำให้ตำรวจทำงานลำบากขึ้น อ้างว่าป้องกันการเมืองแทรกแซง แต่ข้อเท็จจริงกลับเป็นการแทรกแซงการเมืองครบสูตรและผลกระทบตกที่ประชาชนโดยตรง เพราะลำบากที่ตำรวจจะทำงานได้ถูกต้องและตรง