ตำรวจสันติบาล บุกจับตัวมาเฟียต่างด้าวตั้งแก๊งออกเรียกเก็บเงินชาวพม่าในพื้นที่บางพลี สมุทรปราการ พบรายไหนไม่ยอมจ่ายเงินแต่โดยดี กลุ่มมาเฟียจะลงมือทุบตีด้วยไม้ และหากใครชำระเงินค่าคุ้มครองช้ากว่ากำหนดก็บังคับให้ไปเอาภรรยามาขัดดอก หรือยึดเอาทรัพย์สินที่อยู่ในบ้าน
วันนี้ (6 ก.ค.) พล.ต.ต.สุรวุฒิ กรัดศิริ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 2 (ผบก.ส. 2) พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสันติบาล 2 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาต่างด้าวตั้งตัวเป็นมาเฟียเรียกเก็บเงินจากชาวพม่าย่านอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ได้ผู้ต้องหารวม 12 คน แยกเป็นชาวพม่า 8 คน ชาวมอญ 3 คน และชาวอินเดีย 1 คน พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 5 หมื่นบาท คอมพวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง ปืนแบบแมกกาซีน 1 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง เอกสารเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อของผู้ที่ถูกเรียกเก็บเงิน รวมถึงเอกสารบัญชีเงินกู้ส่วนหนึ่ง โดยแจ้งข้อหารวมตัวกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กรรโชกทรัพย์ รีดเอาทรัพย์ ปล่อยเงินกู้โดยผิดกฎหมาย และเปิดสถานประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต
พล.ต.ต.สุรวุฒิ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้รับร้องเรียนจากแรงงานชาวพม่าจำนวนหลายคนว่ามีชาวพม่า ชื่อนายวิรัช อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าได้ร่วมกับพวกอีกกว่า 10 คนตั้งตัวเป็นมาเฟีย ออกข่มขู่กรรโชกทรัพย์จากแรงงานต่างด้าวในย่าน อ.บางพลี โดยได้เรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองเป็นรายเดือนๆ ละ 800 บาท และหากคนใดไม่มีเงินจ่ายจะบังคับให้กู้เงินจากนายมาเรนด้า อายุ 30 ปี ชาวอินเดีย ซึ่งตั้งตัวเป็นนายหน้าเงินกู้ เก็บดอกร้อยละ 20-30 บาท ซึ่งชาวพม่าที่ไม่มีเงินจำเป็นต้องกู้มาจ่ายค่าคุ้มครอง
พล.ต.ต.สุรวุฒิ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้หากใครไม่ยอมจ่ายเงินแต่โดยดี กลุ่มมาเฟียจะลงมือทุบตีด้วยไม้แต่หากใครชำระเงินค่าคุ้มครองช้ากว่กำหนดก็บังคับให้ไปเอาภรรยามาขัดดอก หรือยึดเอาทรัพย์สินที่อยู่ในบ้านไป เช่น ทีวี และเครื่องเสียง นอกจากนี้ นายวิรัชยังได้เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อบังหน้าในการเรียกเก็บเงิน ซึ่งร้านดังกล่าวเป็นร้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ภายในตลาดหนามแดงใน ต.บางใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สำหรับชาวพม่าที่ถูกเรียกเก็บค่าคุ้มครองจำนวนมากกว่า 200 คน และหลายคนไม่มีใบได้รับอนุญาตเข้าเมืองอย่างถูกต้องจึงเกรงกลัวกลุ่มของนายวิรัช
โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการบุกจับกุมผู้นายวิรัช พร้อมพวก ภายในบ้านเลขที่ 172/1 หมู่ 8 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี ซึ่งทั้งหมดให้ความร่วมมือในการจับกุมแต่โดยดี จากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาทั้ง 12 คน ทราบว่าทั้งหมดเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายเช่นกัน อย่างไรก็ตามจะส่งผู้ต้องหาไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อยัง สภ.อ.บางพลี ต่อไป
วันนี้ (6 ก.ค.) พล.ต.ต.สุรวุฒิ กรัดศิริ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 2 (ผบก.ส. 2) พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสันติบาล 2 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาต่างด้าวตั้งตัวเป็นมาเฟียเรียกเก็บเงินจากชาวพม่าย่านอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ได้ผู้ต้องหารวม 12 คน แยกเป็นชาวพม่า 8 คน ชาวมอญ 3 คน และชาวอินเดีย 1 คน พร้อมของกลางเงินสดจำนวน 5 หมื่นบาท คอมพวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง ปืนแบบแมกกาซีน 1 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 10 เครื่อง เอกสารเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อของผู้ที่ถูกเรียกเก็บเงิน รวมถึงเอกสารบัญชีเงินกู้ส่วนหนึ่ง โดยแจ้งข้อหารวมตัวกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กรรโชกทรัพย์ รีดเอาทรัพย์ ปล่อยเงินกู้โดยผิดกฎหมาย และเปิดสถานประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต
พล.ต.ต.สุรวุฒิ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้รับร้องเรียนจากแรงงานชาวพม่าจำนวนหลายคนว่ามีชาวพม่า ชื่อนายวิรัช อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าได้ร่วมกับพวกอีกกว่า 10 คนตั้งตัวเป็นมาเฟีย ออกข่มขู่กรรโชกทรัพย์จากแรงงานต่างด้าวในย่าน อ.บางพลี โดยได้เรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองเป็นรายเดือนๆ ละ 800 บาท และหากคนใดไม่มีเงินจ่ายจะบังคับให้กู้เงินจากนายมาเรนด้า อายุ 30 ปี ชาวอินเดีย ซึ่งตั้งตัวเป็นนายหน้าเงินกู้ เก็บดอกร้อยละ 20-30 บาท ซึ่งชาวพม่าที่ไม่มีเงินจำเป็นต้องกู้มาจ่ายค่าคุ้มครอง
พล.ต.ต.สุรวุฒิ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้หากใครไม่ยอมจ่ายเงินแต่โดยดี กลุ่มมาเฟียจะลงมือทุบตีด้วยไม้แต่หากใครชำระเงินค่าคุ้มครองช้ากว่กำหนดก็บังคับให้ไปเอาภรรยามาขัดดอก หรือยึดเอาทรัพย์สินที่อยู่ในบ้านไป เช่น ทีวี และเครื่องเสียง นอกจากนี้ นายวิรัชยังได้เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อบังหน้าในการเรียกเก็บเงิน ซึ่งร้านดังกล่าวเป็นร้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ภายในตลาดหนามแดงใน ต.บางใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สำหรับชาวพม่าที่ถูกเรียกเก็บค่าคุ้มครองจำนวนมากกว่า 200 คน และหลายคนไม่มีใบได้รับอนุญาตเข้าเมืองอย่างถูกต้องจึงเกรงกลัวกลุ่มของนายวิรัช
โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการบุกจับกุมผู้นายวิรัช พร้อมพวก ภายในบ้านเลขที่ 172/1 หมู่ 8 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี ซึ่งทั้งหมดให้ความร่วมมือในการจับกุมแต่โดยดี จากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาทั้ง 12 คน ทราบว่าทั้งหมดเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายเช่นกัน อย่างไรก็ตามจะส่งผู้ต้องหาไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อยัง สภ.อ.บางพลี ต่อไป
