อดีตสมาชิกวงเพลงแดนซ์ชื่อดัง “โจอี้ บาซู” ทำสัญญาแต่งเพลงหาเสียงให้นักการเมืองทองถิ่นกว่า 3 แสนบาท แล้วไม่ยอมแต่งเพลงให้อ้างลิขสิทธิ์ หนีหนี้มากว่า 3 ปี เจ้าหนี้ทนไม่ไหวแจ้งตำรวจบุกจับคาเวที 7 สีคอนเสิร์ต แจ้งข้อหาฉ้อโกง รอดนอนคุกเอาเงิน 2 แสนประกันตัวเองออกไป
วันนี้ (5 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.สามารถ พรหมชาติ สว.สส.สน.สุทธิสาร พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ได้นำหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ เลขที่ จ.80/2548 ลงวันที่ 11 ม.ค.2548 ในข้อหาฉ้อโกง เข้าจับกุมตัว นายสุรเดช ทับทิมใส หรือโจอี้ บาซู อดีตนักร้องวงแร็พชื่อดัง อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 270/41 ซอยาดพร้าว 122 แขวงและเขตวังทองหลาง ที่ด้านหลังเวที 7 สีคอนเสิร์ต ห้างเซ็นทรัลพระราม 2
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวส่ง ร.ต.ต.สันติ ศิริกุลชา พนักง่านสอบสวน (สบ.1) สน.สุทธิสาร ทำการสอบปากคำ นายสุรเดช หรือโจอี้ บาซู ซึ่งให้การว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมา ตนได้รู้จักกับนายรัฐพล แจ้งพันธ์ อายุ 28 ปี เจ้าของร้านประดับยนต์ที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งกำลังจะสมัครสมาชิกสภาเทศบาล อ.ชัยบาดาล โดยขณะนั้นตนเองกำลังเปิดบริษัทออแกไนเซอร์เล็กๆ ขึ้นมาพอดี นายรัฐพลจึงว่าจ้างตนเองให้ทำเพลงแนวแร็ปลงซีดีไปแจกให้เด็กๆ และนำไปเปิดในการใช้หาเสียง โดยจ่ายเงินค่าจ้างมาให้ตนจำนวน 330,000 บาทให้ตนมาก่อนเพื่อใช้ในการดำเนินงาน
นายสุรเดช กล่าวอีกว่า ต่อมาเพลงที่นำมาบันทึกมีปัญหาด้านลิขสิทธิ์จึงยังไม่ได้ทำ นายรัฐพลเห็นว่าเวลาผ่านไปนานจึงมาทวงเงินคืน พร้อมกับบอกตนให้นำเพลงที่แต่งไปแล้วมามอบให้ด้วย แต่ตนไม่ยอม นายรัฐพลจึงนัดตนให้ไปเคลียร์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา โดยฝ่ายนายรัฐพลได้นำชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นทหารมาข่มขู่ตนจนรู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สน.สุทธิสาร เดินทางไปด้วย
นักร้องชื่อดัง กล่าวว่า การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะช่วงนั้นตนเองยังไม่มีงานแสดงหรืองานเพลงเข้ามาจึงยังไม่มีเงินก้อนไปคืนนายรัฐพล ทางนายรัฐพลจึงนำเรื่องดังกล่าวมาแจ้งความที่ สน.สุทธิสาร ซึ่งตนเองก็ยอมรับจะคืนให้ แต่ยังมีงานเข้ามาเลย จนกระทั่งเพิ่งจะมีงานละครเพลงรักริมฝั่งโขง เข้ามาเป็นเรื่องแรก และเพลงประกอบละครเรื่องดังกล่าวก็ถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง และถูกตำรวจมาจับกุมแล้ว ตนเองยินดีที่จะทำงานให้นายรัฐพลเหมือนเดิม แต่ขอให้โอนลิขสิทธิ์มาให้ตน และขอให้ถอนแจ้งความ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาฉ้อโกงกับนายโจอี้ โดยภายหลังนายโจอี้ได้ใช้หลักทรัพย์จำนวน 2 แสนบาทขอประกันตัวออกไป
ด้าน นายพนม เพ็งทอง ทนายความของนายรัฐพลได้เดินทางมายัง สน.สุทธิสาร พร้อมนำหลักฐานมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายโจอี้ได้มาขอเงินจากนายรัฐพล เพื่อขอเงินจำนวนดังกล่าวไปทำเทป และทำสัญญากันเมื่อปี 46 แต่ภายหลังไปตรวจสอบแล้วนายโจอี้ไม่มีบริษัทออแกไนซ์ดังกล่าวอยู่จริงไม่มีเทปออก จึงเดินทางเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีและดำเนินการฟ้องแพ่งที่ศาล ซึ่งศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.48 จนกระทั่งศาลมีคำตัดสินให้นายสุรเดชคืนเงินจำนวน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้นายรัฐพล นับตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.47 ที่ศาลรับฟ้อง
หลังจากนั้นมาก็มีการนัดไกล่เกลี่ยกันไป 3 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ นอกจากนั้นยังขอเงินเพิ่มอีก 2 แสนเพื่อจะไปทำเทปเพิ่มอีก แต่ฝ่ายนายรัฐพลไม่ยอมให้ และต้องการขอให้คืนเงินจำนวน 330,000 บาทเท่านั้น โดยไม่คิดเงินดอกเบี้ย และจะถอนแจ้งความให้


วันนี้ (5 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.สามารถ พรหมชาติ สว.สส.สน.สุทธิสาร พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ได้นำหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ เลขที่ จ.80/2548 ลงวันที่ 11 ม.ค.2548 ในข้อหาฉ้อโกง เข้าจับกุมตัว นายสุรเดช ทับทิมใส หรือโจอี้ บาซู อดีตนักร้องวงแร็พชื่อดัง อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 270/41 ซอยาดพร้าว 122 แขวงและเขตวังทองหลาง ที่ด้านหลังเวที 7 สีคอนเสิร์ต ห้างเซ็นทรัลพระราม 2
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวส่ง ร.ต.ต.สันติ ศิริกุลชา พนักง่านสอบสวน (สบ.1) สน.สุทธิสาร ทำการสอบปากคำ นายสุรเดช หรือโจอี้ บาซู ซึ่งให้การว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมา ตนได้รู้จักกับนายรัฐพล แจ้งพันธ์ อายุ 28 ปี เจ้าของร้านประดับยนต์ที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งกำลังจะสมัครสมาชิกสภาเทศบาล อ.ชัยบาดาล โดยขณะนั้นตนเองกำลังเปิดบริษัทออแกไนเซอร์เล็กๆ ขึ้นมาพอดี นายรัฐพลจึงว่าจ้างตนเองให้ทำเพลงแนวแร็ปลงซีดีไปแจกให้เด็กๆ และนำไปเปิดในการใช้หาเสียง โดยจ่ายเงินค่าจ้างมาให้ตนจำนวน 330,000 บาทให้ตนมาก่อนเพื่อใช้ในการดำเนินงาน
นายสุรเดช กล่าวอีกว่า ต่อมาเพลงที่นำมาบันทึกมีปัญหาด้านลิขสิทธิ์จึงยังไม่ได้ทำ นายรัฐพลเห็นว่าเวลาผ่านไปนานจึงมาทวงเงินคืน พร้อมกับบอกตนให้นำเพลงที่แต่งไปแล้วมามอบให้ด้วย แต่ตนไม่ยอม นายรัฐพลจึงนัดตนให้ไปเคลียร์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา โดยฝ่ายนายรัฐพลได้นำชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นทหารมาข่มขู่ตนจนรู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สน.สุทธิสาร เดินทางไปด้วย
นักร้องชื่อดัง กล่าวว่า การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะช่วงนั้นตนเองยังไม่มีงานแสดงหรืองานเพลงเข้ามาจึงยังไม่มีเงินก้อนไปคืนนายรัฐพล ทางนายรัฐพลจึงนำเรื่องดังกล่าวมาแจ้งความที่ สน.สุทธิสาร ซึ่งตนเองก็ยอมรับจะคืนให้ แต่ยังมีงานเข้ามาเลย จนกระทั่งเพิ่งจะมีงานละครเพลงรักริมฝั่งโขง เข้ามาเป็นเรื่องแรก และเพลงประกอบละครเรื่องดังกล่าวก็ถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง และถูกตำรวจมาจับกุมแล้ว ตนเองยินดีที่จะทำงานให้นายรัฐพลเหมือนเดิม แต่ขอให้โอนลิขสิทธิ์มาให้ตน และขอให้ถอนแจ้งความ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาฉ้อโกงกับนายโจอี้ โดยภายหลังนายโจอี้ได้ใช้หลักทรัพย์จำนวน 2 แสนบาทขอประกันตัวออกไป
ด้าน นายพนม เพ็งทอง ทนายความของนายรัฐพลได้เดินทางมายัง สน.สุทธิสาร พร้อมนำหลักฐานมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายโจอี้ได้มาขอเงินจากนายรัฐพล เพื่อขอเงินจำนวนดังกล่าวไปทำเทป และทำสัญญากันเมื่อปี 46 แต่ภายหลังไปตรวจสอบแล้วนายโจอี้ไม่มีบริษัทออแกไนซ์ดังกล่าวอยู่จริงไม่มีเทปออก จึงเดินทางเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีและดำเนินการฟ้องแพ่งที่ศาล ซึ่งศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.48 จนกระทั่งศาลมีคำตัดสินให้นายสุรเดชคืนเงินจำนวน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้นายรัฐพล นับตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.47 ที่ศาลรับฟ้อง
หลังจากนั้นมาก็มีการนัดไกล่เกลี่ยกันไป 3 ครั้ง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ นอกจากนั้นยังขอเงินเพิ่มอีก 2 แสนเพื่อจะไปทำเทปเพิ่มอีก แต่ฝ่ายนายรัฐพลไม่ยอมให้ และต้องการขอให้คืนเงินจำนวน 330,000 บาทเท่านั้น โดยไม่คิดเงินดอกเบี้ย และจะถอนแจ้งความให้