xs
xsm
sm
md
lg

แฉกลางศาลปมหย่าร้าง-เงินนับ 100 ล้าน ส่อพลิกคดี “หมอเผ่า”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

สารวัตร สน.บางซื่อ แฉพิรุธกลางศาล ไม่พบชื่อ “หมอเผ่า” เป็นคนไข้ศรีธัญญา ระบุผลประโยชน์นับ 100 ล้าน ปฐมบทแห่งคดี ขณะที่ ผอ.รพ.รับเป็นเหตุผิดปกติ ฝ่าย “เปมิกา” ให้การกลางศาล ปมหย่าร้างชนวนเหตุจับหมอเข้าศรีธัญญา ยันก๊วนเพื่อนไม่เคยนั่งสมาธิ-ไม่มั่วยา

วันนี้ (9 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณาที่ 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนฉุกเฉินในคดีที่ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พงส.สบ.3 สน.บางซื่อ ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ย่านงามวงศ์วาน ที่ถูกขังไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 ตามคำกล่าวโทษร้องทุกข์ของ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต สาวเพื่อนสนิท ในการไต่สวนครั้งนี้ได้มี รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ นพ.ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ นางอาริสา ทมทิตชงค์ มารดา พี่ชายและภรรยาของ นพ.ประกิตเผ่า เดินทางมาศาล พร้อมกับคณะแพทย์ รพ.ศรีธัญญา นำโดย นพ.เกียรติภูมิ วงรจิต ผอ.รพ.และ นพ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ อดีตแพทย์เจ้าของไข้ ขณะที่ฝ่าย น.ส.เปมิกา เดินทางมา พร้อมบิดามารดา รวมทั้งเพื่อนสนิท และศิษย์เก่าสถาบันแอพพลายด์ฟิสิกส์ ส่วนฝ่ายสถาบันกัลยาณ์ฯ ที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นผู้รักษาตัว แทน รพ.ศรีธัญญา ซึ่งถูกกล่าวหา มี พญ.ดวงตา ไกรพัฒน์พงษ์ แพทย์เจ้าของไข้คนใหม่เดินทางมา พร้อมกับรายงานผลการตรวจรักษา นพ.ประกิตเผ่า ส่งให้ศาลพิจารณา โดยมีประชาชนและนักศึกษากฎหมายให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังการไต่สวนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.2, พ.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบก.น.2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจมาให้การรักษาความปลอดภัย

ทั้งนี้ ก่อนการไต่สวนศาลได้เชิญพยานที่จะต้องเข้าเบิกความในคดีนี้ให้ออกจากห้องพิจารณาทุกคน และศาลจะเรียกมาไต่สวนเป็นรายบุคคล อันดับแรก ศาลได้เบิกตัว พ.ต.ท.ฐิติเดช มาเบิกความ ในฐานะผู้ร้องได้สาบานตัวแล้วเบิกความว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2550 น.ส.เปมิกา ได้เข้าพบเพื่อต้องการให้ช่วยตรวจสอบการเสียชีวิตภรรยาของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ซึ่งตนตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่า มีการเสียชีวิต น.ส.เปมิกา จึงแจ้งความร้องทุกข์ขอให้ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ซึ่งถูกควบคุมตัวที่ รพ.ศรีธัญญา เมื่อสรุปเรื่องราวได้ ตนก็เดินทางไปตรวจสอบที่ รพ.ศรีธัญญา โดยมี น.ส.เปมิกา กับ ร.ต.ท.ไอศูรย์ อินศร ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินทางไปที่ รพ.ศรีธัญญา เมื่อไปถึงก็พบชายฉกรรจ์ 3 คน แต่งกายครึ่งท่อนลักษณะคล้ายตำรวจยืนเฝ้าที่หน้าอาคารประสาทวิทยา ซึ่งอ้างว่า มาคอยรักษาการณ์และป้องกันเหตุ และได้พบกับพี่ชาย กับมารดาของ นพ.ประกิตเผ่า ตนจึงได้สอบถามเบื้องต้น และขอดูอาการป่วยด้วยตนเอง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ในที่สุดตนได้พบ นพ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ แพทย์เจ้าของไข้ก็ให้ดูรายงานการตรวจทางแพทย์ ระบุว่า นพ.ประกิตเผ่า ป่วยเป็นโรคจิตระแวง แต่ก็ไม่ให้ตนเข้าไปพบ ได้แต่ยืนมองอยุ่ข้างนอก พบว่า นพ.ประกิตเผ่านอนห่มผ้าถึงลำคอ ต่อมามีพี่ชายกับมารดาและญาติ นพ.ประกิตเผ่าได้มาพบตนที่ สน.บางซื่อ เพื่อขอพบ น.ส.เปมิกา เหตุการณ์ทั้งหมดข้างต้นทำให้ตนเกิดความสงสัย

ศาลถามผู้ร้องว่า ทำไมถึงสนใจสอบสวนเรื่องนี้ พ.ต.ท.ฐิติเดช ตอบว่า ยังมีเหตุผลเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาที่มีรายได้นับร้อยล้านบาท โดย น.ส.เปมิกา บอกว่า หาก นพ.ประกิตเผ่ามีอาการป่วยทางจิตก็จะมีการนำไปกล่าวอ้างได้ว่าเป็นคนไร้ความสามารถ เพื่อจะได้มีผู้ร้องขอเป็นผู้อนุบาล จะได้ควบคุมกิจการโรงเรียน ซึ่งก็ทราบมาด้วยว่าเดิมบิดามารดาของ นพ.ประกิตเผ่าเคยมีรายได้ 10 ล้านบาทต่อปี แต่ นพ.ประกิตเผ่าได้รับเพียงร้อยละ 10 ทั้งที่เป็นผู้บริหาร นพ.ประกิตเผ่าจึงขอครอบครัวแบ่งส่วนรายได้ใหม่ หรือขอแยกตัวออกมาบริหารคนเดียว สุดท้ายทางบิดา มารดาได้ยินยอมให้ดำเนินการคนเดียว โดยมีรายได้ปีละ 100 ล้านบาท ตนก็ยิ่งสงสัย ถาม น.ส.เปมิกาว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการขัง นพ.ประกิตเผ่า ใครจะได้รับประโยชน์ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่ายังมีผลประโยชน์จากวิดีโอบันทึกการสอนฟิสิกส์ที่ นพ.ประกิตเผ่าทำไว้เป็นชุด สามารถนำออกมาใช้สอนได้นานถึง 4 ปี จะสร้างรายได้นับร้อยล้านบาท หาก นพ.ประกิตเผ่าถูกหลอกเอาตัวไปก็ไม่สามารถดำเนินการกิจการโรงเรียนกวดวิชาต่อไปได้

พ.ต.ท.ฐิติเดช เบิกความต่อไปว่า ต่อมาตนทำหนังสือราชการขอสอบปากคำ นพ.ไพฑูรย์ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ อ้างว่าหากจะพบ นพ.ประกิตเผ่าก็ต้องมีหมายศาลเท่านั้น ทำให้ตนยิ่งสงสัยมากขึ้น ศาลถามพยานว่าคดีเกิดขึ้นในเขต จ.นนทบุรี อยู่ในอำนาจการสอบสวนของ สภ.อ.เมืองนนทบุรี ทำไมถึงรับแจ้งความ พ.ต.ท.ฐิติเดช กล่าวว่า ตนเห็นว่า น.ส.เปมิกา เป็นประชาชนได้รับความเดือดร้อนมีเรื่องให้ช่วยเหลือ และเรื่องที่มาเล่าให้ฟังก็เกี่ยวกับให้สืบสวนหาสาเหตุการตายของภรรยาของแพทย์คนหนึ่ง และยังร้องไห้ตลอดเวลา ตนจึงอาศัยอำนาจตามกฎหมายทำการรับคำกล่าวโทษตาม ป.วิอาญา และได้สอบสวนก็เพื่อจะส่งสำนวนให้ตำรวจ สภ.อ.เมืองนนทบุรี สอบสวนต่อไปตามรูปคดี โดยตนมอบให้ ร.ต.ท.ไอศูรย์ เดินทางไปพร้อมกับ น.ส.เปมิกา ไปที่ สภ.อ.เมืองนนทบุรี ตั้งแต่ตอนแรกๆ โดยไม่ได้มีหนังสือราชการไปด้วย เป็นการร้องขอให้สอบสวนด้วยวาจา ในลักษณะประสานงาน แต่ สภ.อ.เมืองนนทบุรีไม่ทำการสอบสวน ตนจึงทำการสอบสวนต่อไป

ต่อมาศาลได้เบิกตัว น.ส.เปมิกา มาเบิกความ โดยได้พนมมือสาบานตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะเบิกความด้วยความสัตย์จริงทุกประการ หากเบิกความเท็จขอให้ชีวิตพบภัยพิบัติ แต่ถ้าเบิกความจริงก็ขอให้ชีวิตมีแต่ความเจริญ จากนั้นจึงเบิกความว่า เมื่อ 9 ปีก่อนขณะเรียนชั้น ม.4 ได้ไปกวดวิชากับ นพ.ประกิตเผ่า แล้วสอบเข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียนได้ปีหนึ่งก็ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วย้ายกลับมาเรียนคณะจิตวิทยา ที่จุฬาฯ ระหว่างนี้ก็มาเรียนกวดวิชาบ้างที่สถาบัน โดยมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ ชาย 3 คน หญิง 3 คน อายุระหว่าง 22 ถึง 30 ปีเศษ ได้เข้ากลุ่มกันทำกิจกรรมและเรียนต่อ บางคนก็ทำงานแล้ว บางคนอยู่ระหว่างรอเรียนปริญญาโท ทั้งหมดก็ยังเข้าไปยังฟังการบรรยายของ นพ.ประกิตเผ่า จนปัจจุบันตนอายุ 24 ปีแล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนต่างวัยของ นพ.ประกิตเผ่า เพราะอายุห่างกัน 13 ปี การพบปะระหว่างตนกับ นพ.ประกิตเผ่า มีลักษณะคบกันเป็นกลุ่ม ไปไหนก็ไปด้วยกัน บางครั้งกลุ่มตนก็มี 4 คน ลักษณะการคบกันก็จะนัดไปเจอกันที่คอนโดมิเนียมที่ นพ.ประกิตเผ่า เช่าไว้ที่ย่านศาลายา พวกตนจะเข้าไปทำรายงาน ฝ่าย นพ.ประกิตเผ่าจะเข้ามาคุยบ้าง โทรศัพท์มาแล้วแบ่งปันความรู้สึกผ่านต่อกันบ้าง หรือเล่าปากต่อปาก บางครั้งพวกตนไม่ว่างเข้าไปที่คอนโดฯ แต่ต้องไปออกค่ายอาสาพัฒนาต่างจังหวัด นพ.ประกิตเผ่าก็จะตามไปดู

ศาลถามว่า เหตุการณ์เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร น.ส.เปมิกา เบิกความอย่างฉะฉานคล่องแคล่วว่า เรื่องราวเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2549 นพ.ประกิตเผ่า มักเป็นฝ่ายพูดบ่อยๆ เกี่ยวกับการต้องการหย่าร้างกับภรรยา และมีปัญหาเกี่ยวกับคนในครอบครัว ส่วนใหญ่จะพูดถึงพี่ชาย บางครั้งก็พูดถึงบิดามารดา และบอกว่าเมื่อมีปัญหาทางมารดาจะเข้ามาจัดการ ฝ่ายบิดาไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา นพ.ประกิตเผ่าได้ปรึกษาพวกตนในลักษณะอยากระบายเรื่องราวเกี่ยวกับการกระทำของภรรยา เมื่อได้ระบายแล้วก็มีอาการดีขึ้น แล้วแยกกันกลับ แต่ช่วงหลังปีใหม่ 2550 ก็มีการระบายเรื่องราวที่หนักขึ้น พวกตนก็ได้แต่ฟัง

น.ส.เปมิกา กล่าวว่า ที่หนักที่สุดก็คือ ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวันที่ 19 ก.พ.2550 ตนทราบว่าช่วงนั้น นพ.ประกิตเผ่าไม่ได้อยู่กับภรรยา ซึ่งเขาเล่าว่าได้พยายามโทรศัพท์นัดมาคุยกันเรื่องหย่า แต่ภรรยาเลี่ยงไปว่าติดไปทำบุญที่วัดสังฆทาน จึงพยายามติดต่อผ่านพี่ชาย และมารดาเพื่อยืนยันขอหย่าให้ได้ ซึ่งรับปากว่าเป็นคนติดต่อภรรยาให้ ช่วงนั้น นพ.ประกิตเผ่าไปพบญาติที่บ้านซอยเรวดี และบอกตนว่าได้คุยกับพี่ชายทราบว่าฝ่ายภรรยาก็มีมือปืน ซึ่ง นพ.ประกิตเผ่าบอกกลับไปว่าเขาก็มีมือปืนเหมือนกัน ตอนนั้นตนทราบว่า นพ.ประกิตเผ่า ไปไหนจะพกปืนตลอด ตนรู้เรื่องเกี่ยวกับอาวุธปืนเพียงเท่านี้

พยานเบิกความต่อไปว่า นพ.ประกิตเผ่า เล่าว่า ได้นัดหมายให้ภรรยามาหย่ากันที่อำเภอพุทธมณฑล วันที่ 19 ก.พ.เวลา 10.00 น.โดยพี่ชายให้ตกลงกันก่อนว่าจะพาตำรวจคนกลางไป เพื่อตรวจอาวุธปืนว่า นพ.ประกิตเผ่ากับภรรยาเอาปืนติดตัวไปหรือไม่ ถ้าต่างไม่นำปืนติดตัวก็จะได้เซ็นหย่ากัน

ศาลได้ซักถาม น.ส.เปมิกาว่า มีเรื่องเกี่ยวกับการนั่งสมาธิหรือไม่ น.ส.เปมิกา กล่าวว่า ไม่เคยพากันไปนั่งสมาธิ มีแต่ไปพักผ่อนที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในกลุ่มของพวกตน ขอยืนยันว่าไม่มีการเสพยาเสพติด รวมทั้งไม่มีการดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่ ตอนนั้นทราบว่า นพ.ประกิตเผ่าสนใจศึกษาธรรมะ เนื่องจากเคยไปบวชที่วัดท่าซุง เมื่อเดือน เม.ย.2549 และมีการวางแผนเกี่ยวกับการศึกษาธรรมะ ตอนนั้นเขายังมีจิตใจปกติดี ในวันที่ 18 ก.พ.ก่อนไปหย่า พวกตนทั้งหมดก็ได้นอนค้างที่คอนโดฯ จนเช้าวันที่19 ก.พ. นพ.ประกิตเผ่าได้ขับรถยนต์เบนซ์สีฟ้า ทะเบียน พห-9999 กรุงเทพฯ ออกไปก่อนช่วง 09.00 น. และบอกกับพวกตนว่าจะกลับมาเวลา 18.00 น.ขอให้อยู่รอ

น.ส.เปมิกา เบิกความว่า หลังจากนั้นพวกตนก็แยกย้ายไปเรียนบ้างทำงานบ้าง ตนเพียงคนเดียวได้โทร.ไปถามข่าวจาก นพ.ประกิตเผ่า เขาบอกว่ายังหย่าไม่ได้ เพราะไม่ได้นำทะเบียนสมรสไป ต้องกลับมาเอาที่บ้านพักย่านศาลายา แล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก จนเวลา 06.00 น.วันที่ 20 ก.พ.2550 ตนได้รับโทรศัพท์จาก นพ.ประกิตเผ่าว่าอยู่ที่อาคารประสาทวิทยา รพ.ศรีธัญญา เมื่อถามว่าพี่หมอไปทำอะไร ก็ตอบว่าถูกพี่ชายให้มาอยู่ที่นี่ ภรรยาไม่ได้เดินทางมาหย่า เพราะเสียชีวิต และสงสัยว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาย และบอกว่าเขาอยู่ในอาการเครียด พี่ชายจึงต้องการให้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย จึงให้ตนช่วยตรวจสอบว่า ภรรยาของเขาตายจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ให้แจ้งข่าวมา แต่ถ้าไม่ตายจริงก็ให้พาตำรวจมารับตัวออกไปเมื่อทราบ ดังนั้น ตนกับเพื่อนจึงไป สน.บางซื่อ ก็พบตำรวจหญิง แล้วพาตนไปพบ พ.ต.ท.ฐิติเดช จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แล้วตำรวจได้พาตนกับเพื่อนไป รพ.ศรีธัญญา เพื่อถามว่า นพ.ประกิตเผ่า พักอยู่ห้องไหน พบชายฉกรรจ์ 4 คน จำได้ว่าสวมชุดตำรวจคอมมานโด 1 คน และเจ้าหน้าที่สถาบันกวดวิชา จึงเข้าไปสอบถามแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ บอกว่า อีก 2 คนที่เหลือเป็นตำรวจกองปราบปราม จึงกลับไปรอที่รถยนต์ ต่อมาตำรวจมาตามไปที่หน้าตึกประสาทวิทยา พบ พ.ต.ท.ฐิติเดช ยืนคุยอยู่กับมารดา พี่ชายของ นพ.ประกิตเผ่า สรุปแล้วตนไม่ได้พบกับ นพ.ประกิตเผ่า จึงเดินทางกลับไปที่ สน.บางซื่อ โดยมีมารดาและพี่ชาย นพ.ประกิตเผ่า ตามมาด้วย โดยมารดาและพี่ชาย นพ.ประกิตเผ่า บอกว่า นพ.ประกิตเผ่ามีอาการทางจิต มีความหวาดระแวง ไม่อยากให้เข้าไปเยี่ยม เกรงจะกระทบต่อการรักษา ซึ่งหลังจากเข้าร้องทุกข์แล้วพยานยังเข้าให้ปากคำกับ พ.ต.ท.ฐิติเดช อีก 2 ครั้ง

โดยศาลถามพยานย้ำว่า ที่เบิกความกับศาลทั้งหมดเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นความเท็จจะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่ง น.ส.เปมิกา แถลงยืนยันว่า คำเบิกความทั้งหมดเป็นความจริง เมื่อศาลถามว่า รู้จักสารเอฟริดีนหรือไม่ น.ส.เปมิกา ตอบว่า เพิ่งรู้จักเมื่อเกิดคดีนี้ โดยส่วนตัวไม่ทราบว่าสารเอฟริดีนเข้าสู่ร่างกาย นพ.ประกิตเผ่า ได้อย่างไร แต่ในวันที่ 19 ก.พ.ก่อนที่ นพ.ประกิตเผ่าจะถูกส่งไป รพ.ศรีธัญญา ยังสามารถขับรถไปที่ว่าการ อ.พุทธมณฑล เพียงคนเดียวได้ ซึ่งหากได้รับสารเอฟริดีนในปริมาณสูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์ คงไม่มีสติขับรถเพียงลำพังได้

ต่อมาศาลเรียก นพ.เกียรติภูมิ สมุทรสินธุ์ ผอ.รพ.ศรีธัญญา เข้าไต่สวน ได้ความว่า ในฐานะ ผอ.มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานทั่วไปในโรงพยาบาล ทั้งเรื่องคน งาน วิชาการ และการเงิน ส่วนการรับตัวคนไข้เข้ารับรักษาจำเป็นต้องลงบันทึกในเวชระเบียนหรือไม่ พยานตอบว่าในกรณีฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องมี ศาลจึงถามย้ำว่าในกรณีของ นพ.ประกิตเผ่า เข้ากรณีฉุกเฉินหรือไม่ พยานตอบว่าไม่เข้ากรณีฉุกเฉิน เท่าที่ทราบ นพ.ประกิตเผ่าเข้ารักษาตัวประมาณ 10.47 น.วันที่ 19 ก.พ.แต่ที่ พ.ต.ท.ฐิติเดช ตรวจสอบไม่พบรายชื่อนั้นเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ลงบันทึกข้อมูลคนป่วยลงในคอมพิวเตอร์ โดยยอมรับว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากความบกพร่องในการทำงาน แต่ไม่มีลักษณะผิดปกติ จึงไม่ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบหรือสืบหาข้อเท็จจริง แต่ทั้งนี้ เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วกลับไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบถามการรักษาตัวของ นพ.ประกิตเผ่า แต่อย่างใด

ผอ.รพ.ศรีธัญญา เบิกความตัวว่า สำหรับอาคารประสาทวิทยา ที่ นพ.ประกิตเผ่ารักษาตัวอยู่นั้นเป็นตึกผู้ป่วยใน มีการรักษาความปลอดภัยเหมือนหน่วยงานราชการทั่วไป การเข้าไปในบริเวณรักษาพยาบาลต้องได้รับอนุญาต ซึ่งผู้ป่วยที่ไม่ต้องคดีอาญาไม่จำเป็นต้องมีตำรวจคุ้มครอง ส่วนที่มีชายฉกรรจ์ 4 คน คอยคุ้มกัน นพ.ประกิตเผ่าที่อาคารนั้น เนื่องจากมารดาของ นพ.ประกิตเผ่า ร้องขอ โดยเกรงว่า นพ.ประกิตเผ่าจะหลบหนี รวมทั้งอาจมีบุคคลที่ไม่พึงประสงค์แอบเข้ามาพบได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคลุ้มคลั่ง เจ้าหน้าที่จะให้การพยาบาล พูดคุยและสอบถามสาเหตุถ้าไม่เป็นผล ต้องตรวจดูรายงานแพทย์ว่าจะสามารถฉีดยาได้หรือไม่ หรือควรใช้วิธีควบคุ้มผูกมัดและนำไปรักษาเป็นการเฉพาะแล้วแต่กรณี

เมื่อศาลถามว่า การที่มารดาของ นพ.ประกิตเผ่า ร้องขอให้นำชายฉกรรจ์ 4 คนมาคุ้มครองนั้นแสดงว่า ไม่ไว้ใจการดูแลของ รพ.ศรีธัญญา ใช่หรือไม่ นพ.เกียรติภูมิ ตอบว่า มารดาและพี่ชาย นพ.ประกิตเผ่า เชื่อมั่นในการรักษาอาการทางจิตของ รพ.แต่คงไม่มั่นใจเรื่องที่ผู้ป่วยหลบหนี เพราะที่ รพ.ไม่ได้มีลักษณะเป็นสถานที่ควบคุม ไม่มีเหล็กดัดแน่นหนา เมื่อญาติผู้ป่วยร้องขอจึงอนุญาตให้ไปตามหน้าที่ โดยพยานไม่เคยรู้จักเกี่ยวพันกันมาก่อน

ศาลถามต่อไปว่า หากคนปกติได้รับการรักษาโดยให้ยาผิดประเภทจะทำให้เกิดภาวะทางจิตไม่ปกติได้หรือไม่ นพ.เกียรติภูมิ ตอบว่า สารบางตัวมีผลต่อระบบสมอง อาทิ ยาบ้า ส่วนการให้น้ำเกลือผู้ป่วยจิตเวชนั้น มี 3 กรณี คือ ผู้ป่วยขาดสารอาหาร 2.ต้องรักษาด้วยการฉีดยาเป็นประจำ และเพื่อให้ร่างกายมีน้ำและขับสารพิษออกจากร่างกาย แต่จะนานกี่วันนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายผู้ป่วย ส่วนเรื่องสารเอฟริดีนในร่างกาย นพ.ประกิตเผ่า นั้นทราบจากรายงานการตรวจของ นพ.ไพฑูรย์ แพทย์เจ้าของไข้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล จึงขออนุญาตยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรแทน สำหรับนายโจ้ (นายอนุวัฒน์ จันทประเทศ) ซึ่งปรากฏตามคำร้องของพนักงานสอบสวนว่าเป็นผู้ที่ให้ นพ.ประกิตเผ่ายืมใช้โทรศัพท์นั้น ไม่ทราบชื่อจริง แต่ทราบว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวในตำแหน่งผู้ช่วยเหลือคนไข้ โดยไม่ทราบว่าเป็นคำสั่งของแพทย์ พยาบาล หรือญาติคนไข้ที่ให้มาดูแล นพ.ประกิตเผ่า โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากทางญาติประสงค์ที่จะให้มี คนดูแลผู้ป่วยเป็นการเฉพาะก็สามารถร้องขอได้

ส่วนรายละเอียดการไต่สวนในช่วงบ่ายจะรายงานให้ทราบต่อไป

ตร.แฉพิรุธไม่พบชื่อ “หมอเผ่า” เป็นคนไข้ศรีธัญญา - ผอ.รับ “ผิดปกติ”
รอลุ้น! ศาลไต่สวนชี้ขาดขอปล่อยตัว “หมอเผ่า”
กองปราบสนองตอบ “ครอบครัวหมอเผ่า” ตั้งทีมสืบที่มาสารเอฟรีดีน!
พี่ชาย “หมอประกิตเผ่า” ร้องกองปราบฯ ช่วยหาที่มา “สารเอฟรีดีน”
พี่ชาย “หมอประกิตเผ่า” เปิดใจมือที่ 3 ทำครอบครัวร้าวฉาน!
ศาลสั่งห้ามใครยุ่งเกี่ยว “หมอประกิตเผ่า” - สั่งย้ายที่รักษาตัว
ศาลลงเผชิญสืบ “หมอประกิตเผ่า” ที่ รพ.ศรีธัญญา
ตร.ไม่เชื่อ “หมอประกิตเผ่า” บ้า! เผยมีข้อมูลเด็ดสะระตี่?
ศาลไต่สวนฉุกเฉินขอปล่อยตัว “นพ.ประกิตเผ่า” ออกจาก รพ.บ้า 2 มี.ค.นี้




กำลังโหลดความคิดเห็น