ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.สวป.สน.ดอนเมือง และพวก คนละ 4 ปี ฐานร่วมกัน กรรโชกทรัพย์สาวใช้พม่า โดยไม่รอลงอาญา
วันนี้ (25 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาที่ 2 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่ นางสาวดา ไม่ทราบนามสกุล แม่บ้านชาวพม่า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.นันทวัชร์ มูลมณี สารวัตรปราบปราม (สวป.) สน.ดอนเมือง ครั้งเป็นสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 6 (กก.สส.น.6) พร้อมพวกรวม 7 คน ตกเป็นจำเลยฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดต่อร่างกาย ความผิดต่อเสรีภาพ ลักทรัพย์และกรรโชกทรัพย์
โดยคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2547 จำเลยกับพวก ได้เข้าตรวจค้นห้องพักของโจทก์ที่ย่านสี่พระยา แล้วทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ พร้อมยัดเยียดหนังสือเดินทางปลอมและยาบ้า 2 เม็ดให้โจทก์ ก่อนลักทรัพย์โทรศัพท์มือถือ เงินสดในกระปุกออมสิน 40,000 บาท และแว่นตา จากนั้นยังขู่ให้โจทก์ไปถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม ย่านถนนศรีอยุธยา จำนวน 10,000 บาท ก่อนให้นำสร้อยคอทองคำของโจทก์ไปขายฝากที่ร้านทอง ย่านบางรัก ได้เงิน 7,000 บาท
ศาลพิเคราะห์ คำให้การของโจทก์ และคำเบิกความสู้คดีของจำเลยแล้ว เห็นว่า แม้โจทก์จะให้การเป็นลำดับขั้นตอนน่าเชื่อถือ แต่ศาลต้องพิเคราะห์ให้ละเอียดและรอบคอบ เพราะก่อนหน้านี้ โจทก์เคยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีปลอมเอกสารและยาเสพติด พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี และจากการนำสืบของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะในความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ จากการบังคับให้โจทก์ไปถอนเงินและขายฝากสร้อยคอทองคำนั้น จากการพิเคราะห์เห็นว่า คำให้การของโจทก์น่าเชื่อถือ ในขณะที่คำให้การจำเลยไม่มีน้ำหนัก โดยอ้างว่า การถอนเงินและการขายฝากสร้อยคอทองคำ เป็นแผนการของโจทก์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้พ้นผิด ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากโจทก์เป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวอยู่ท่ามกลางตำรวจ 7 นาย จึงไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถคิดแผนการได้ในระยะเวลาอันสั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนัก การกระทำของจำเลยในความผิดดังกล่าว เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ อีกทั้งยังถือว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นๆ ให้ยก
ภายหลังทนายของจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์คือตำแหน่งของตัวจำเลยทั้งหมด ขอประกันตัวต่อศาล ต่อมาศาลพิเคราะห์คำร้องประกอบหลักทรัพย์ของจำเลยแล้วอนุญาตให้ประกันตัวไป โดยตีหลักทรัพย์ในการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ต.ท.นันทวัชร์ มูลมณี นั้น เคยดำรงตำแหน่ง สว.กก.สส.น.6 เมื่อครั้ง พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ “โอ๋ สืบ 6” เป็น ผกก.สส.น.6 ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ปล่อยให้บรรดากุ๋ยรุมกระทืบประชาชนที่ไปต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จากนั้น พ.ต.ท.นันทวัชร์ จึงย้ายไปเป็น สว.กก.สส.น.5 เมื่อปี 2548
ด้าน พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา พ.ต.ท.นันทวัชร์ พร้อม ร.ต.อ.นราธิป เกิดจงรักษ์ รอง สารวัตรสืบสวนนครบาล 6 (สมัยนั้น) และพวกอีก 5 นายฐานกรรโชกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2547 กำหนดไว้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกถึงที่สุดแล้วต้องออกจากราชการโดยปริยาย แต่สำหรับกรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าวยังมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์และฎีกา และสามารถรับราชการได้ตามปกติ ยกเว้นจะไม่อุทธรณ์เท่านั้นถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว เบื้องต้นทราบว่า มีการขออุทธรณ์ต่อสู้ในชั้นศาลแล้ว อย่างไรก็ตามหากพบว่ากระทำความผิดจริงในข้อหากรรโชกทรัพย์ ขณะเป็นเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับโทษอย่างร้ายแรง ทางต้นสังกัดสามารถทอดยศและงดจ่ายบำเหน็จบำนาญในที่สุด
วันนี้ (25 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาที่ 2 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่ นางสาวดา ไม่ทราบนามสกุล แม่บ้านชาวพม่า เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.นันทวัชร์ มูลมณี สารวัตรปราบปราม (สวป.) สน.ดอนเมือง ครั้งเป็นสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 6 (กก.สส.น.6) พร้อมพวกรวม 7 คน ตกเป็นจำเลยฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดต่อร่างกาย ความผิดต่อเสรีภาพ ลักทรัพย์และกรรโชกทรัพย์
โดยคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2547 จำเลยกับพวก ได้เข้าตรวจค้นห้องพักของโจทก์ที่ย่านสี่พระยา แล้วทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ พร้อมยัดเยียดหนังสือเดินทางปลอมและยาบ้า 2 เม็ดให้โจทก์ ก่อนลักทรัพย์โทรศัพท์มือถือ เงินสดในกระปุกออมสิน 40,000 บาท และแว่นตา จากนั้นยังขู่ให้โจทก์ไปถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม ย่านถนนศรีอยุธยา จำนวน 10,000 บาท ก่อนให้นำสร้อยคอทองคำของโจทก์ไปขายฝากที่ร้านทอง ย่านบางรัก ได้เงิน 7,000 บาท
ศาลพิเคราะห์ คำให้การของโจทก์ และคำเบิกความสู้คดีของจำเลยแล้ว เห็นว่า แม้โจทก์จะให้การเป็นลำดับขั้นตอนน่าเชื่อถือ แต่ศาลต้องพิเคราะห์ให้ละเอียดและรอบคอบ เพราะก่อนหน้านี้ โจทก์เคยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีปลอมเอกสารและยาเสพติด พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี และจากการนำสืบของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะในความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ จากการบังคับให้โจทก์ไปถอนเงินและขายฝากสร้อยคอทองคำนั้น จากการพิเคราะห์เห็นว่า คำให้การของโจทก์น่าเชื่อถือ ในขณะที่คำให้การจำเลยไม่มีน้ำหนัก โดยอ้างว่า การถอนเงินและการขายฝากสร้อยคอทองคำ เป็นแผนการของโจทก์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้พ้นผิด ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากโจทก์เป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวอยู่ท่ามกลางตำรวจ 7 นาย จึงไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถคิดแผนการได้ในระยะเวลาอันสั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนัก การกระทำของจำเลยในความผิดดังกล่าว เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ อีกทั้งยังถือว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นๆ ให้ยก
ภายหลังทนายของจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์คือตำแหน่งของตัวจำเลยทั้งหมด ขอประกันตัวต่อศาล ต่อมาศาลพิเคราะห์คำร้องประกอบหลักทรัพย์ของจำเลยแล้วอนุญาตให้ประกันตัวไป โดยตีหลักทรัพย์ในการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ต.ท.นันทวัชร์ มูลมณี นั้น เคยดำรงตำแหน่ง สว.กก.สส.น.6 เมื่อครั้ง พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ “โอ๋ สืบ 6” เป็น ผกก.สส.น.6 ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า ปล่อยให้บรรดากุ๋ยรุมกระทืบประชาชนที่ไปต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จากนั้น พ.ต.ท.นันทวัชร์ จึงย้ายไปเป็น สว.กก.สส.น.5 เมื่อปี 2548
ด้าน พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา พ.ต.ท.นันทวัชร์ พร้อม ร.ต.อ.นราธิป เกิดจงรักษ์ รอง สารวัตรสืบสวนนครบาล 6 (สมัยนั้น) และพวกอีก 5 นายฐานกรรโชกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2547 กำหนดไว้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกถึงที่สุดแล้วต้องออกจากราชการโดยปริยาย แต่สำหรับกรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าวยังมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์และฎีกา และสามารถรับราชการได้ตามปกติ ยกเว้นจะไม่อุทธรณ์เท่านั้นถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว เบื้องต้นทราบว่า มีการขออุทธรณ์ต่อสู้ในชั้นศาลแล้ว อย่างไรก็ตามหากพบว่ากระทำความผิดจริงในข้อหากรรโชกทรัพย์ ขณะเป็นเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับโทษอย่างร้ายแรง ทางต้นสังกัดสามารถทอดยศและงดจ่ายบำเหน็จบำนาญในที่สุด
