หากจะยกข่าวอาชญากรรมที่เด่นดังในรอบปี 49 ที่ผ่านมา คงจะไม่มีใครเถียงว่า คดี "คาร์บอมลอบสังหารอดีตนายกฯ ทักษิณ" เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากสุดอีกเหตุการณ์หนึ่ง เพราะเป็นการวางแผนลอบสังหารผู้นำประเทศในขณะนั้นเลยทีเดียว ซึ่งคดีนี้ก็ยังไม่จบ ท่ามกลางข้อกังขาของใครหลายๆคนว่า "ลอบสังหารจริง หรือ แค่จัดฉาก ?"
ช่วงเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ใครหลายๆคนกำลังรีบเร่งมุ่งหน้าสู่ที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัยของตัวเอง ซึ่งถ้าวันนั้นใครขับรถหรือนั่งรถผ่านมาแถวแยกบางพลัด หรือแยกซังฮี้ คงจะงงว่า ทำไมรถมันติดขนาดหนัก แถมมีการปิดการจราจรจากแยกบางพลัดฝั่งธน มุ่งหน้าฝั่งพระนครไปจนถึงแยกซังฮี้ ไม่ให้รถคันไหนผ่านไปเด็ดขาดอีกต่างหาก
นั่นเป็นเพราะตำรวจสน.บางพลัด ได้รับแจ้งว่ามีรถยนต์ต้องสงสัยว่าจะมีวัตถุระเบิดจออยู่ บริเวณถนนสิรินธร ห่างแยกบางพลัดประมาณ 300 เมตร มุ่งหน้าสะพานกรุงธน (ซังฮี้) ช่วงคู่ขนานข้ามแยกใต้สะพาน และที่สำคัญมันอยู่ห่างจากบ้านจันทร์ส่องหล้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร เท่านั้นเอง
หลังทราบเรื่อง ตำรวจทั้งชั้นผู้ใหญ่-ผู้น้อยหลายนาย พร้อมหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด รีบรุดไปยังจุดเกิดเหตุทันที โดยจุดังกล่าวพบรถเก๋งยี่ห้อแดวู สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ฐฉ-3085 จอดอยู่ในเลนขวา มีคนขับเป็นชาย 1 คน ชื่อ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชนะ สวมเสื้อซาฟารีสีน้ำเงิน สวมหมวก ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป้นทหาจริงหรือไม่ แถมภายในรถยังมีระเบิดอานุภาพร้ายแรงอยู่เพียบ ตำรวจจึงไม่รอช้า รีบกั้นไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปใกล้เด็ดขาด (แต่ตำรวจแก่ๆ ไม่ยักกลัว เดินฉุยฉายเข้าไปใกล้ได้แฮะ) พร้อมควบคุมตัวชายที่ชื่อ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชนะ ไปสอบปากคำที่กองปราบปรามทันที โดยมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย ถึงขนาด พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.ต้องเดินทางมาดูแลด้วยตัวเอง อีกทั้งนายทหารพระธรรมนูญมาร่วมสอบปากคำด้วย
หลังจากนั้นเวลาบ่ายโมง ฝั่งตำรวจนครบาลนำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น.แถลงข่าวก่อนว่า ซีโฟร์ น้ำหนัก 3.5 ปอนด์ ทีเอ็นที รวม 10.75 กิโลกรัม เชื้อปะทุไฟฟ้าทางทหาร M8 จำนวน 2 ดอก วงจรรีโมตคอนโทรล 1 ชุด สายฝักแค ระเบิด DEPCORD ยาวประมาณ 12.22 เมตร เชื้อปะทุชนวนจำนวน 4 ดอก เชื้อปะทุไฟฟ้า ทางทหาร ANFO AMMONIUM NITRATE FUEL OIL หนัก 17.33 กิโลกรัม กระสอบทรายจำนวน 4 กระสอบ
ที่สำคัญท่าน ผบช.น.ยืนยันว่า แรงระเบิดจะมีรัศมีไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร วิกฤตระยะใกล้ประมาณ 30-50 เมตร พินาศแน่นอน และระเบิดที่ยึดได้ ก็เป็นระเบิดที่ไม่มีใช้ทั่วไป โดยจะใช้เฉพาะ"ทหาร" และ"ตำรวจ" แถมยังต่อวงจรเสร็จสรรพอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอีกต่างหาก คล้อยหลังครึ่งชั่วโมง ฝั่งตำรวจสอบสวนกลางนำโดย พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก.แถลงข่าวบ้าง โดยยืนยันว่า ร.ท.ธวัชชัย เป็นทหารจริง และรีบแจ้งข้อหาทันทีคือ มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ร.ท.ธวัชชัย ให้การยืนยันปฏิเสธว่ามาขับรถให้เพื่อนชื่อจุ้ย ไม่รู้เรื่องระเบิด และไม่มีการซัดทอดใครทั้งสิ้น
ฉากมาทางฝั่งมาที่ฝั่งรักษาการนายกฯ ทักษิณ บ้าง เมื่อรู้ข่าวก็มีการจับกุมทหารขนระเบิดได้ก็พูดจาเป็นตุเป็นตะฟันธงราวกับหมอลักษณ์ทันทีว่า ตัวเองจะถูกลอบสังหารแน่ เช่นเดียวกับบรรดาลิ่วล้อที่ออกมารับลูกจากนายตัวเองอีกหลายต่อหลายคน พร้อมทั้งไม่วายที่จะบอกว่า "เป็นเดชะบุญของท่านแท้ๆ ที่รอดจากการถูกปองร้ายมาได้ในครั้งนี้"
เท่านั้นไม่พอ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีคำสั่งปลดฟ้าผ่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รอง ผอ.กอ.รมน.ทันทีในวันนั้น เนื่องจาก ร.ท.ธวัชชัย เคยเป็นคนขับรถของ พล.อ.พัลลภ มาก่อน ??? โดยตัว พล.อ.พัลลภ เองก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แถมยังบอกอีกว่า หากจะทำต้องเนียนกว่านี้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รอดมือเขาไปแน่
ถึงตอนนี้ใครหลายๆคนคงคิดไปไกลแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการตระเตรียมระเบิดเอาไว้ลอบสังหารชายที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ในตอนนั้นเป็นแน่แท้ แต่ในขณะที่ใครหลายๆคน กลับไม่เชื่อ แถมคิดว่า เหตุการณ์นี้เป็นการจัดฉากชัวร์ๆ กลายเป็นเรื่องถกเถียงกันตั้งแต่เหตุการณ์ยังผ่านไปไม่ทันข้ามวัน เดือดร้อนถึง พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ในขณะนั้น) และโฆษก ตร. ต้องออกมาแถลงข่าวกลางดึกย้ำชัดว่า ตร.มีหลักฐานชัดเจนว่า รถขนระเบิด ขับออกมาจาก กอ.รมน.ไม่ใช่ไปรับจ้างจากขับรถให้เพื่อนชื่อจุ้ย ตามที่ร.ท.ธวัชชัย อ้าง แถมยังวอนให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือพันธมิตรฯ ยุติการวิพากษ์วิจารณ์พาดพิงให้ร้ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะจะสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองอีกต่างหาก ....(แหม่..เป็นคนดีจริงๆ)
หลังจากนั้นอีกหลายครั้งหลายคราที่ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ ออกมาแถลงข่าวย้ำซ้ำให้ประชาชนเข้าใจไปในทำนองที่ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นน่าจะเป็นการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ตัวอย่างเช่นวันรุ่งขึ้น ก็มีการนำผู้เชียวชาญด้านวัตถุระเบิดมาแถลงข่าวด้วย โดยตัวท่านโฆษกเองยังระบุว่า "ขอเรียนว่า ตรงจุดดังกล่าวเป็นจุดผ่านของขบวนนายกรัฐมนตรีในทุกเช้า เป็นไปตามช่วงเวลาที่ปรากฏตามข่าว ฉะนั้น การที่รถคันดังกล่าวไปอยู่ตรงจุดนั้น และที่มีการเชื่อมโยงกับหน่วย รปภ.ที่สังเกตเห็นนั้น ภาษากฎหมายเรียกว่า “เจือสม” ที่คนร้ายหวังต้องการมุ่งร้ายหมายขวัญกับนายกรัฐมนตรี และประชาชน" ต่อมาวันที่ 26 ส.ค.ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ตร.ทำตามพยานหลักฐานนายกทักษิณ ไม่ได้ชี้นำ
ส่วนตัว ร.ท.ธวัชชัย หลังถูกควบคุมตัวไปฝากขังก็ไม่ได้อนุญาติให้ประกันตัว ก็ต้องนอนอยู่ที่คุกกองปราบโดยมีภรรยาและญาติๆ หลายๆคนต่างพากันมาเยี่ยม และต่างคนก็ยืนยัน ไม่เชื่อว่า ร.ท.ธวัชชัย จะทำเช่นนั้น โดยเฉพาะหลานสาว ที่รู้สึกจะออกมาบอกว่า ร.ท.ธวัชชัย ชอบนายกทักษิณ เวลาใครว่า จะแก้ต่างให้อีก แล้วจะมาเป็นคนขับรถขนระเบิดลอบสังหารได้อย่างไร
ต่อมาญาติๆ ของ ร.ท.ธวัชชัย เริ่มสงสัยในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีนี้ มีการร้องเรียนว่า ระเบิดของกลางในบันทึกจับกุม กับที่แถลงกับสื่อ ซึ่งภายหลัง พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผู้การกองปราบก็มาอธิบายให้เข้าใจว่าเป็นเพราะ ชุดจับกุมดูด้วยสายตาคร่าวๆ และชุดเก็บกู้ทำรายงานอย่างละเอียด ของกลางเลยออกมาไม่ตรงกัน ญาติจึงหายข้องใจไป
แต่ภายหลังตำรวจมีการแถลงข่าว นำภาพวิดีทัศน์ที่บันทึกไว้ระหว่างสอบปากคำ ร.ท.ธวัชชัย มาเปิดให้สื่อมวลชนดู โดย ทางตำรวจบอกว่า ร.ท.ธวัชชัย ยอมรับว่า เป็นคนขับรถคันที่เกิดเหตุจริง และรู้สึกสำนึกในสิ่งที่ได้กระทำไป รวมทั้งขอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยรับว่า ได้ขับรถคันที่ก่อเหตุ ไม่เฉพาะวันที่ 22-23-24 อันเป็นวันที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวันที่ 9-10 ที่มีเหตุการณ์รถขบวนของนายรัฐมนตรี ประสบอุบัติเหตุ ชนกับรถประชาชนในสนามบิน บน.6 ของกองทัพอากาศ ทว่าญาติของ ร.ท.ธวัชชัย กลับทำหนังสือร้องถึง พล.ต.อ.โกวิท อีกรอบว่า วันที่มีการบันทึกวิดีทัศน์นั้น ร.ท.ธวัชชัย รูว่าจะมีการพูดคุยกันกับตำรวจไม่ได้จะยอมรับสารภาพ และ ยอมรับเพียงแค่ขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนที่เหลือนั้นตำรวจเพ้อเจ้อ ไปเอง!!!
ความคืบหน้าของคดีก็มีความเข้มงวดขึ้นไปอีก เมื่อมีการบุกค้นค้นห้องเลขที่ 13/07 6/805 ภายในอาคารที่พักอาศัย ไพลินสแควร์ 3 สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม หรืออาคาร ที 3 เมืองทองธานี ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่กบดานของ จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ หรือจ่ายักษ์ ผู้ร่วมขบวนการ ที่เป็นคนขับรถชี้เป้าให้ หมวดธวัชชัย โดยตำรวจได้ยึดรถ ปิกอัพนิสสัน สีฟ้า ทะเบียน บก.9162 สระแก้ว รถชี้เป้าคันดังกล่าวมาตรวจสอบด้วย ทำให้มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัว และการสอบสวนสาวไปถึงตัวผู้บงการ-ทีมสังหาร ยังดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นในวันที่ 4 ก.ย. ทางตำรวจแถลงข่าวว่า รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ ตลอดจนหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทำให้สามารถเชื่อมโยงถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เพิ่มเติมนอกเหนือจาก ร.ท.ธวัชชัย ได้แล้ว โดยมีหนังสือไปถึงต้นสังกัดให้ส่ง พล.ต.ไพโรจน์ ธีรภาพ, พ.อ.สุรพล สุขประดิษฐ์, พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ และ จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ โดยทั้งหมดช่วยราชการ กอ.รมน.ให้มาพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ในวันที่ 7 ก.ย.
ซึ่งเย็นวันนั้น ตำรวจนำตัว พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ นายทหารช่วยราชการ กอ.รมน.รายแรกมาสอบปากคำ พร้อมแจ้ง 6 ข้อหาคือ 1.ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน 3.ร่วมมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนญาต 5.ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม และ 6.ซ่องโจร เช่นเดียวกับ ร.ท.ธวัชชัย ที่ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มไปอีก 5 ข้อหา
จากนั้นค่ำวันที่ 6 ก.ย.จ่ายักษ์ หรือ จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ ก็ดอดเข้ามอบตัวที่กองปราบปราม ต่อด้วย พล.ต.ไพโรจน์ ธีรภาพ และพ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ ที่ตามมามอบตัวสู้คดีในวันรุ่งขึ้น ซึ่งทั้ง 3 คนนี้ ถูกแจ้งข้อหาฉกรรจ์ถึง 6 ข้อหาเช่นเดียวกับ 2 คนแรก
ทั้งนี้ตำรวจได้มีการนำตัวนายทหารทั้งหมดไปฝากขังที่ศาลทหาร และศาลได้รับคำร้องให้อนุญาติฝากขังได้ ยกเว้น พล.ต.ไพโรจน์ คนเดียวที่ศาลระบุว่า ตำรวจมีหลักฐานไม่เพียงพอว่า พล.ต.ไพโรจน์ มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงให้ปล่อยตัวทันที นอกจากนี้ พล.ต.ไพโรจน์ ยังปฏิเสธไม่ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือจนทำให้ ตำรวจกองปราบปรามต้องไปแจ้งความดำเนินคดีอีกต่างหาก
แต่ที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือในการสอบสวนนายทหารทั้ง 5 นายนั้น 4 ใน 5 คือ ร.ท.ธวัชชัย ,พ.ท.มนัส ,พ.อ.สุรพล และพล.ต.ไพโรจน์ นั้น ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา มีเพียงจ่ายักษ์อยู่คนเดียวที่ให้การรับสารภาพหมดไส้หมดพุงซัดทอดนายทหารอีก 4 คนว่า เป็นผู้ร่วมขบวนการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด
โดยตัวเองจ่ายักษ์เองรับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งให้เป็นคนคอยขับรถกระบะสีฟ้า คอยชี้เป้าให้รถขนระเบิดที่ขับโดย ร.ท.ธวัชชัย ไล่ตั้งแต่วันที่วันที่ 9-10 ส.ค.ที่มีเหตุการณ์รถขบวนของนายรัฐมนตรี ประสบอุบัติเหตุ ชนกับรถประชาชนในสนามบิน บน.6 ของกองทัพอากาศ แผนลอบสังหารจึงต้องล้มเลิกไปอย่างกระทันหัน ส่วนวันที่ 24 ส.ค.นั้น จ่ายักษ์บอกว่า ไม่ได้ไปร่วมด้วย
นอกจากนี้จ่ายักษ์ยังรับสารภาพอีกว่า มีทีมสังหารที่เตรียมอาวุธสงครามจำนวนมากใส่รถยนต์ปิกอัพ ยี่ห้อนิสสัน ฟรอนเทียร์ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียนตรากงจักร ไว้คอยถล่มซ้ำด้วย ในกรณีที่ลอบวางระเบิดพลาด ราวกับในภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดเลยทีเดียว.... ต่อมาตำรวจจึงนำตัว จ่ายักษ์ ไปทำแผนกระกอบคำรับสารภาพอย่างละเอียดยิบ ถึงเหตุการณ์ในวันที่ 9-10 ส.ค.
ทันทีที่ข่าว จ่ายักษ์ รับสารภาพแบบหมดเปลือกแพร่ออกไป รวมทั้งมีการพาดพิงถึงนายทหารระดับสูงหลายนายว่า อยู่ร่วมในขบวนการปองร้ายผู้นำประเทศ พล.อ.พัลลภ ก็ออกมาบอกว่า "จ่ายักษ์ติงต๊อง ชอบทำตัวเป็นผู้ร้ายในหนังฝรั่ง โกนหัว ทำท่าทาง และแต่งตัวเป็น แร็พ ถ้าใครไปให้ร่วมงานด้วย" ซึ่งก็ไม่วายมีพวกบ่างช่างยุ มาปั่นหัวให้จ่ายักษ์ฟ้อง พล.อ.พัลลภ อีก
หลังจากนั้นการทำงานของตำรวจก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มีการส่งระเบิดทั้งหมดไปให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์วงจรและอานุภาพ เพื่อนำมาประกอบสำนวน แต่ในท้ายที่สุดก็มีข่าวว่า การทดสอบระเบิดนั้นไม่ทำงาน นอกจากนี้ตำรวจก็ยังประชุมกันต่อเพื่อตรวจสอบคำพูดจ่ายักษ์ว่าพูดจริงหรือเท็จ
แต่แล้วคดีก็ต้องมาสะดุดลงทันทีที่มีการทำรัฐประหารในคืนวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา คดีหยุดชะงัก พนักงานสอบสวนแทบจะไม่ได้ทำงานกันต่อเพราะต้องรอดูท่าทีของผู้ใหญ่ รวมไปถึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ซึ่งตอนนั้นเข้าไปร่วมอยู่ในคณะปฏิรูปฯด้วย
อีกทั้ง พล.ต.ท.อชิรวิทย์ โฆษก ตร.เอง ยังเปลี่ยนทีท่าหลังจากที่ตอนแรกออกมายืนยันเสียงแข็งว่า มีพยานหลักฐานยืนยันว่ากลุ่มผู้ต้องหามีความพยายามสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ แตภายหลังกลับบอกว่า ไม่ยืนยันหลักฐานสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ จนในที่สุด พล.ต.ท.อชิรวิทย์ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟออกมาแถลงซ้ำย้ำว่า ตัวเองไม่ได้พลิกลิ้นตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับบอกว่า ตำรวจต้องทำคดีต่อไป หยุดไม่ได้
จนท้ายที่สุดตำรวจก็ประชุมสรุปสำนวนคดีนี้ แล้วส่งต่อไปให้ พล.ต.อ.โกวิท ผบ.ตร.เป็นผู้ชี้ขาดในวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฏว่า พล.ต.อ.โกวิท ตัดสินใจเซ็นสำนวนส่งฟ้อง พล.ต.ไพโรจน์ ธีรภาพ, พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์, พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ และ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ใน 6 ข้อหาข้างต้น ส่วนจ่ายักษ์ หรือ จ.ส.อ.ชาคริต นั้นพนักงานงานสอบสวนกันไว้เป็นพยาน
หลังจากนี้ก็อยู่ที่อัยการศาลทหารว่า จะมีความเห็น สั่งฟ้อง หรือ สั่งไม่ฟ้อง ซึ่งหากสั่งฟ้อง ก็เป็นหน้าที่ของ 4 นายทหารที่ตกเป็นผู้ต้องหาจะต้องไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลต่อไป