ประหารชีวิต “โจรอ้วน-ผอม” ปล้นฆ่าเสี่ยร้านทองสวนหลวง กวาดทองกว่า 2.7 ล้าน คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพนมวรรณ หรือผอม จั่นมุ้ย อายุ 31 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร จำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 จำเลยกับนายสมคิด หรือไอ้อ้วน ทองเรือง อายุ 38 ปี ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด .38 ไม่มีทะเบียนจี้ชิงทรัพย์ ขู่เข็ญนางสุจินดา จิรังคาพาณิชย์ เจ้าของร้านทองสวนหลวง แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. ผู้เสียหาย ให้หยิบทองคำในตู้ แต่ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงหมอบลงกับพื้น ขณะที่นายบุญหลง พงษ์พยัคเลิศ ผู้ตายซึ่งเป็นสามีกำลังวิ่งหนีจำเลย และนายสมคิดต่างใช้ปืนยิงนายบุญหลงกันคนละนัดจนถึงแก่ความตาย แล้วกวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำในรวม 122 เส้นน้ำหนัก 276 บาท ราคาประมาณ 2.76 ล้านบาท รวมทั้งกรอบพระเลี่ยมทอง อีก 21 กรอบ ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ต่อมาตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสมคิดได้ และยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งคดีนายสมคิดสิ้นสุดแล้วโดยศาลฎีกาพิพากษายืนให้ประหารชีวิต แต่คำให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลยนำสืบหักล้างแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของร้านทอง และประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าสามารถจดจำใบหน้าจำเลยได้ เนื่องจากก่อนเกิดเหตุจำเลยทำทีเข้ามาขอดูสร้อยคอทองคำแล้วเดินอ้อมมาด้านหลังพร้อมกับชักปืนจี้ตัวพยานพร้อมกับพูดว่า “ปล้นนะ” ผู้ตายซึ่งเป็นสามีของผู้เสียหายอยู่ในอาการตกใจพยายามวิ่งหนี จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตายล้มลงฟุตปาธหน้าร้าน
และนอกจากผู้เสียหายแล้วยังมีพยานซึ่งเป็นพ่อค้า-แม่ค้าที่ขายของอยู่ข้างร้านทอง ซึ่งเห็นเหตุการณ์ก็เบิกความยืนยันด้วยว่า หลังจากก่อเหตุแล้วจำเลยกับนายสมคิดได้พยายามสตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์หลบหนี แต่สตาร์ทไม่ติดจึงพยายามเข็นรถและสตาร์ทเครื่องจนติดแล้วขี่หนีไป พยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันในลำดับเหตุการณ์ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่าเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาดังกล่าว
วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ สนามหลวง ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพนมวรรณ หรือผอม จั่นมุ้ย อายุ 31 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร จำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ แต่คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 จำเลยกับนายสมคิด หรือไอ้อ้วน ทองเรือง อายุ 38 ปี ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด .38 ไม่มีทะเบียนจี้ชิงทรัพย์ ขู่เข็ญนางสุจินดา จิรังคาพาณิชย์ เจ้าของร้านทองสวนหลวง แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. ผู้เสียหาย ให้หยิบทองคำในตู้ แต่ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงหมอบลงกับพื้น ขณะที่นายบุญหลง พงษ์พยัคเลิศ ผู้ตายซึ่งเป็นสามีกำลังวิ่งหนีจำเลย และนายสมคิดต่างใช้ปืนยิงนายบุญหลงกันคนละนัดจนถึงแก่ความตาย แล้วกวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำในรวม 122 เส้นน้ำหนัก 276 บาท ราคาประมาณ 2.76 ล้านบาท รวมทั้งกรอบพระเลี่ยมทอง อีก 21 กรอบ ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ต่อมาตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสมคิดได้ และยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งคดีนายสมคิดสิ้นสุดแล้วโดยศาลฎีกาพิพากษายืนให้ประหารชีวิต แต่คำให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต จำเลยปฏิเสธต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลยนำสืบหักล้างแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของร้านทอง และประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าสามารถจดจำใบหน้าจำเลยได้ เนื่องจากก่อนเกิดเหตุจำเลยทำทีเข้ามาขอดูสร้อยคอทองคำแล้วเดินอ้อมมาด้านหลังพร้อมกับชักปืนจี้ตัวพยานพร้อมกับพูดว่า “ปล้นนะ” ผู้ตายซึ่งเป็นสามีของผู้เสียหายอยู่ในอาการตกใจพยายามวิ่งหนี จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตายล้มลงฟุตปาธหน้าร้าน
และนอกจากผู้เสียหายแล้วยังมีพยานซึ่งเป็นพ่อค้า-แม่ค้าที่ขายของอยู่ข้างร้านทอง ซึ่งเห็นเหตุการณ์ก็เบิกความยืนยันด้วยว่า หลังจากก่อเหตุแล้วจำเลยกับนายสมคิดได้พยายามสตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์หลบหนี แต่สตาร์ทไม่ติดจึงพยายามเข็นรถและสตาร์ทเครื่องจนติดแล้วขี่หนีไป พยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันในลำดับเหตุการณ์ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่าเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาดังกล่าว