ศาลมีคำพิพากษาทีมร่วมกันสังหารแม่ ส.ส.คมคาย พลบุตร โดยพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้จ้างวาน ทั้ง “จ่ามี” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และ ส.จ.รักษ์ ฐานเป็น “ตัวการ” ในขณะที่มือปืน และ “เปี๊ยก ซีโฟร์” ลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิต ในฐานะที่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ด้านสามีเหยื่อและ ส.ส.คมคาย กล่าวสั้นๆ “สาสมแล้ว”
วันนี้ (6 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 713 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายประสงค์ แสงจันทร์ หรือหมู แก่งคอย มือปืน เป็นจำเลยที่ 1, นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ สมาชิกสภาจังหวัดเขต อ.เชียงคาน จ.เลย ผู้ใช้จ้างวาน เป็นจำเลยที่ 2, นายสิทธิพร หรือจ่ามี ขำอาจ อดีต ส.ส.กทม. ผู้ใช้จ้างวาน เป็นจำเลยที่ 3 และ จ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ เป็นจำเลยที่ 4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันจ้างวาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธและอาวุธปืนอาก้าไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.45 น. นางปัทมา ผู้ตายขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ของนายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามี ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่กำลังขับรถเข้าไปที่ลานจอด รถกระแทกกับพื้นซีเมนต์จึงเกิดเหตุระเบิดทำให้ผู้ตายเสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือจ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ สายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (เสียชีวิตแล้ว) ว่าได้ร่วมกันวางแผนจะฆ่านายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีของผู้ตายที่ห้องสูท สถานบริการอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ในวันที่ 30 ส.ค.2540 แต่การลงมือสังหารนายสนิทไม่สำเร็จ
ต่อมา วันที่ 5 ก.ย.2540 เวลาประมาณ 01.00 น. จำเลยได้นำระเบิดไปติดตั้งที่ใต้ท้องรถเบนซ์ของนายสนิท โดยวางแผนกดรีโมตระเบิดเมื่อนายสนิทขึ้นรถ แต่ปรากฏว่าระเบิดไม่ทำงาน จำเลยจึงล้มเลิกแผน แล้วรุ่งขึ้นวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.30 น. ภรรยาของนายสนิทคือผู้ตายได้ใช้รถเบนซ์คันดังกล่าวขับออกไป จึงเกิดเหตุระเบิดและถึงแก่ความตายดังกล่าว โดยคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นกัน จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ ผู้ต้องหา ไว้เป็นพยาน (เสียชีวิตแล้ว) โดยภายหลังอัยการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดจันทบุรี เห็นว่าจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลจะเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานที่จะมีผลกระทบต่อรูปคดี ดังนั้นจึงยื่นขอโอนคดีมาสืบพยานที่ศาลอาญาเมื่อปี 2544 กระทั่งนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้
วันนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 (นายประสงค์) และจำเลยที่ 4 (นายนิคม) ให้การรับสารภาพ ในชั้นสอบสวนตลอดตั้งแต่เริ่มวางแผนฆ่า ในวันที่ 30 ส.ค. 2540 ภายในห้องสูทสถานบริการอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ร่วมกันจำเลยที่ 2 (นายเอกสิทธิ์) และจำเลยที่ 3 (นายสิทธิพร) ด้วยในวันที่ 30 ส.ค. 2540 จนถึงวันสังหารคือวันที่ 5 ก.ย.2540 นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้ง 4 โทร.หากันในช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งมีภรรยาของจำเลยที่ 1 มาให้การยืนยันข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่า นายกนกพล เยี่ยมสวัสดิ์ หรือเหน่ห์ ซีโฟร์ ซึ่งศาลพิพากษาเป็นที่สุดไปแล้วในคดีนี้ (แยกฟ้อง) โดยให้จำคุกตลอดชีวิตนั้น ไปพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านช่วงก่อนเกิดเหตุ หลังจากเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เปิดข่าวดู และเห็นข่าวระเบิด จึงได้บอกเมียว่านี่เป็นผลงานของตนที่ไปทำกับนายกนกพล
การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และ 4 ในชั้นสอบสวนต่อหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายตำรวจชั้นผูใหญ่ อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังขอขมานายสนิท ซึ่งเป็นโจทก์ร่วม รวมทั้งนำชี้ที่เกิดเหตุ และภาพถ่ายประกอบ จึงมีน้ำหนักเพียงพอ ส่วนที่จำเลยที่ 2 และ3 อ้างต่อสู้คดี โดยอ้างที่อยู่ว่าไม่ได้อยู่ในสถานที่ดังกล่าว ตามที่จำเลยที่ 1 และ 4 ให้การซัดทอด รวมทั้งอ้างว่าไม่รู้จักนายกนกพลนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะจากหลักฐานที่พบมีการใช้โทรศัพท์โทร.หากันของจำเลยทั้ง 4 คนในช่วงดังกล่าว ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และ 3 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอมาหักล้างน้ำหนักโจทก์ได้
พิพากษา จำเลยที่ 1 และ 4 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม และให้ลงโทษกฎหมายบทหนักสุด โดยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และ 4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ให้ลดโทษลง 1 ใน 3 คงลงโทษจำคุกคตลอดชีวิต
ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ เป็นผู้จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวการ ให้พิพากษาบทหนักสุด คือ ประหารชีวิตสถานเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังมีคำพิพากษา นายสนิท โจทก์ร่วม และนางคมคาย พลบุตร เปิดเผยว่า พอใจแล้ว ที่ศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้ถือว่าสาสมกับที่จำเลยได้ร่วมกันกระทำต่อครอบครัวของตน
ขณะที่ นายเอกสิทธิ์ และนายสิทธิพร จำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งศาลตัดสินประหารชีวิตนั้น เดินคอตกก้มหน้าออกจากห้องพิจารณาคดี ภายใต้การเข้าควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ในขณะที่ญาติๆ และลูกน้องของผู้ต้องหาที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาต่างพากันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ในขณะที่ทนายความจำเลยยืนยันว่าจะต้องขอยื่นประกันตัวไปต่อสู้คดีในศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป โดยได้เตรียมโฉนดที่ดินมาเพื่อขอประกันตัวแล้ว จากนั้นจะได้เตรียมที่จะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันตามกฎหมายต่อไป




วันนี้ (6 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 713 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายประสงค์ แสงจันทร์ หรือหมู แก่งคอย มือปืน เป็นจำเลยที่ 1, นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ สมาชิกสภาจังหวัดเขต อ.เชียงคาน จ.เลย ผู้ใช้จ้างวาน เป็นจำเลยที่ 2, นายสิทธิพร หรือจ่ามี ขำอาจ อดีต ส.ส.กทม. ผู้ใช้จ้างวาน เป็นจำเลยที่ 3 และ จ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือจ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ เป็นจำเลยที่ 4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันจ้างวาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธและอาวุธปืนอาก้าไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.45 น. นางปัทมา ผู้ตายขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ของนายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามี ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่กำลังขับรถเข้าไปที่ลานจอด รถกระแทกกับพื้นซีเมนต์จึงเกิดเหตุระเบิดทำให้ผู้ตายเสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือจ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ สายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (เสียชีวิตแล้ว) ว่าได้ร่วมกันวางแผนจะฆ่านายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีของผู้ตายที่ห้องสูท สถานบริการอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ในวันที่ 30 ส.ค.2540 แต่การลงมือสังหารนายสนิทไม่สำเร็จ
ต่อมา วันที่ 5 ก.ย.2540 เวลาประมาณ 01.00 น. จำเลยได้นำระเบิดไปติดตั้งที่ใต้ท้องรถเบนซ์ของนายสนิท โดยวางแผนกดรีโมตระเบิดเมื่อนายสนิทขึ้นรถ แต่ปรากฏว่าระเบิดไม่ทำงาน จำเลยจึงล้มเลิกแผน แล้วรุ่งขึ้นวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.30 น. ภรรยาของนายสนิทคือผู้ตายได้ใช้รถเบนซ์คันดังกล่าวขับออกไป จึงเกิดเหตุระเบิดและถึงแก่ความตายดังกล่าว โดยคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นกัน จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ ผู้ต้องหา ไว้เป็นพยาน (เสียชีวิตแล้ว) โดยภายหลังอัยการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดจันทบุรี เห็นว่าจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลจะเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานที่จะมีผลกระทบต่อรูปคดี ดังนั้นจึงยื่นขอโอนคดีมาสืบพยานที่ศาลอาญาเมื่อปี 2544 กระทั่งนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้
วันนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 (นายประสงค์) และจำเลยที่ 4 (นายนิคม) ให้การรับสารภาพ ในชั้นสอบสวนตลอดตั้งแต่เริ่มวางแผนฆ่า ในวันที่ 30 ส.ค. 2540 ภายในห้องสูทสถานบริการอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ร่วมกันจำเลยที่ 2 (นายเอกสิทธิ์) และจำเลยที่ 3 (นายสิทธิพร) ด้วยในวันที่ 30 ส.ค. 2540 จนถึงวันสังหารคือวันที่ 5 ก.ย.2540 นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้ง 4 โทร.หากันในช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งมีภรรยาของจำเลยที่ 1 มาให้การยืนยันข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่า นายกนกพล เยี่ยมสวัสดิ์ หรือเหน่ห์ ซีโฟร์ ซึ่งศาลพิพากษาเป็นที่สุดไปแล้วในคดีนี้ (แยกฟ้อง) โดยให้จำคุกตลอดชีวิตนั้น ไปพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านช่วงก่อนเกิดเหตุ หลังจากเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เปิดข่าวดู และเห็นข่าวระเบิด จึงได้บอกเมียว่านี่เป็นผลงานของตนที่ไปทำกับนายกนกพล
การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และ 4 ในชั้นสอบสวนต่อหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายตำรวจชั้นผูใหญ่ อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังขอขมานายสนิท ซึ่งเป็นโจทก์ร่วม รวมทั้งนำชี้ที่เกิดเหตุ และภาพถ่ายประกอบ จึงมีน้ำหนักเพียงพอ ส่วนที่จำเลยที่ 2 และ3 อ้างต่อสู้คดี โดยอ้างที่อยู่ว่าไม่ได้อยู่ในสถานที่ดังกล่าว ตามที่จำเลยที่ 1 และ 4 ให้การซัดทอด รวมทั้งอ้างว่าไม่รู้จักนายกนกพลนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะจากหลักฐานที่พบมีการใช้โทรศัพท์โทร.หากันของจำเลยทั้ง 4 คนในช่วงดังกล่าว ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และ 3 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอมาหักล้างน้ำหนักโจทก์ได้
พิพากษา จำเลยที่ 1 และ 4 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม และให้ลงโทษกฎหมายบทหนักสุด โดยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และ 4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ให้ลดโทษลง 1 ใน 3 คงลงโทษจำคุกคตลอดชีวิต
ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ เป็นผู้จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวการ ให้พิพากษาบทหนักสุด คือ ประหารชีวิตสถานเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังมีคำพิพากษา นายสนิท โจทก์ร่วม และนางคมคาย พลบุตร เปิดเผยว่า พอใจแล้ว ที่ศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้ถือว่าสาสมกับที่จำเลยได้ร่วมกันกระทำต่อครอบครัวของตน
ขณะที่ นายเอกสิทธิ์ และนายสิทธิพร จำเลยที่ 2 และ 3 ซึ่งศาลตัดสินประหารชีวิตนั้น เดินคอตกก้มหน้าออกจากห้องพิจารณาคดี ภายใต้การเข้าควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ในขณะที่ญาติๆ และลูกน้องของผู้ต้องหาที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาต่างพากันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ในขณะที่ทนายความจำเลยยืนยันว่าจะต้องขอยื่นประกันตัวไปต่อสู้คดีในศาลชั้นอุทธรณ์ต่อไป โดยได้เตรียมโฉนดที่ดินมาเพื่อขอประกันตัวแล้ว จากนั้นจะได้เตรียมที่จะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันตามกฎหมายต่อไป