ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 1 ปี “อัยการผู้เชี่ยวชาญฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 4” ฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ สั่งไม่ฟ้อง บก.- นสพ.เดลินิวส์ ลงข่าวผิดพลาดหมิ่นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี
วันนี้ (5 ก.ย.) ที่ศาลอาญาธนบุรี ถนนเอกชัยบางบอน ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่นายประทีป ปิติสันต์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุกรี สุจิตตกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 4 เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน กระทำการ หรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ ตามมาตรา 200 วรรคหนึ่ง
โดยคดีนี้ฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างปี 2544-2545 จำเลย ซึ่งเป็นอัยการเจ้าของสำนวนคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ที่มีโจทก์เป็นผู้เสียหาย และมีบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด และ นายประชา เหตระกูล บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เป็นผู้ต้องหา แต่ในการสั่งคดีกลับปรากฏว่าจำเลยในฐานะอัยการเจ้าของสำนวน ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง โดยระบุว่า ไม่มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งโจทก์เห็นว่า การสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ดังนั้น โจทก์จึงนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลให้พิพากษาลงโทษจำเลย ซึ่งคดีนี้ศาลอาญาธนบุรี และศาลอุทธรณ์ มีพิพากษาลงโทษให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงโทษไว้เป็นเวลา 1 ปี โดยจำเลยยื่นฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2540 รถยนต์ของโจทก์ ถูกนายบุญชัย สงวนความดี ขับชนท้าย ที่บริเวณสี่แยกอรุณอัมรินทร์ กทม.ซึ่งโจทก์แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ว่า ถูกนายบุญชัย ทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตราย เป็นเหตุให้บุญชัยถูกควบคุมตัวไว้ แต่ต่อมาได้รับการประกันตัวออกไป ซึ่ง นายบุญชัย แจ้งความกลับกล่าวหาว่า โจทก์ทำร้ายร่างกาย แล้วพนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวัน โดยที่โจทก์ไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา แต่วันที่ 5 ก.ย.2540 นสพ.เดลินิวส์ ที่มีบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ เป็นเจ้าของ ได้เผยแพร่ข่าวพาดหัวว่า “ผู้พิพากษาทะเลาะกับพ่อค้าผ้า” และมีข้อความระบุว่า โจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีโดยได้ประกันตัวออกไป และกรณีที่สืบเนื่องจากการเผยแพร่ดังกล่าวโจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนบางยี่ขัน ให้ดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทกับ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และนายประชา บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.เดลินิวส์ ซึ่งพนักงานสอบสวนแล้วมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจึงส่งสำนวนพร้อมความเห็นส่งให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 4 พิจารณา และจำเลยได้รับมอบหมายให้ตรวจสำนวนและวินิจฉัยสั่งสำนวนคดีดังกล่าว กระทั่งมีคำสั่งไม่ฟ้อง บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา โดยระบุเหตุผลว่า ลักษณะการลงข่าวย่อยมีการพาดหัวข่าวสั้นๆ ส่วนเนื้อหามีลักษณะเป็นการสรุปข่าวสั้นๆ ไม่ได้ตีพิมพ์อย่างเอิกเกริกหรือพาดหัวข่าวในหน้าหนึ่งให้ผิดปกติแต่อย่างใด
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การสั่งคดีของจำเลยเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยมีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา เพราะพิจารณาถึงเจตนาของผู้ต้องหาทั้งสองแล้วว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์โดยการใช้ดุลยพินิจของจำเลยเป็นไปด้วยความสุจริตใจ ซึ่งการวินิจฉัยสั่งคดีเป็นอิสระของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิด ศาลฎีกาเห็นว่า อัยการมีอำนาจวินิจฉัยสั่งคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่จำเลยย่อมมีอิสระที่จะใช้อำนาจสั่งการตามความเห็นของตนได้โดยไม่มีการอ้างได้ว่าใช้ดุลยพินิจไปในทางชอบหรือไม่ชอบ
แต่อย่างไรก็ดี ความมีอิสระของพนักงานอัยการที่จะวินิจฉัยสั่งคดีไม่ใช่ว่าจะไร้ขอบเขตเสียทีเดียว ซึ่งในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐการใช้ดุลยพินิจสั่งคดี อัยการทุกคนจะต้องอยู่ภายในขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย และอยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผลที่วิญญูชนทั่วไปยอมรับได้ว่าไม่ใช่เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจหรือบิดผันอำนาจ ซึ่งการวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา พบว่า มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏในข้อความอันเป็นเท็จใน นสพ.เดลินิวส์ ที่เสนอข่าวกรณีนี้ คือ ระบุว่า ทั้งโจทก์และนายบุญชัย ต่างแจ้งความอีกฝ่ายหนึ่งว่าแจ้งความเท็จ และมีข้อความว่า พนักงานสอบสวนบางยี่ขันดำเนินคดีกับโจทก์และต้องใช้ตำแหน่งราชการประกันตัวออกไป ซึ่งข้อความนั้นไม่ตรงกับความจริง เพราะวันเกิดเหตุทั้งโจทก์ และนายบุญชัย ยังไม่ได้แจ้งความว่าอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งความเท็จ และโจทก์ยังไม่ได้ถูกพนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดยการลงข่าวในหนังสือพิมพ์อันเป็นเท็จดังกล่าวเห็นได้ชัดแจ้งว่า ไม่ถูกต้องด้วยหลักจริยธรรมทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์ เนื่องจากมีการบิดเบือนข่าว อีกทั้งเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยปราศจากข้ออ้างเรื่องผลประโยชน์สาธารณะใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์เป็นข้าราชการตุลาการชั้นผู้ใหญ่ การลงข่าวเท็จย่อมทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ไม่ได้ครองตัวให้สมสถานะเป็นที่น่ายำเกรง
ดังนั้น การที่จำเลยใช้ดุลยพินิจสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 โดยอ้างว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ถือว่าเป็นการวินิจฉัยมูลความผิดแบบด่วนวินิจฉัยคดีเสมือนเป็นการพิจาณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวนับเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการผู้สุจริตโดยทั่วไปที่วิญญูชนทั่วไปไม่สามารถยอมรับได้ และการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะไม่ได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล แต่เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจที่เกินล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย และในฐานะที่จำเลยเป็นข้าราชการอัยการชั้นสูงย่อมทราบดีถึงเกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิด ซึ่งการใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมายในกรณีนี้จำเลยเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการไม่ชอบและมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อีกทั้งเพื่อจะช่วย บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา ไม่ให้ต้องรับโทษจากการกระทำความผิดของตนเอง ดังนั้น จึงถือว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ ม.200 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน
วันนี้ (5 ก.ย.) ที่ศาลอาญาธนบุรี ถนนเอกชัยบางบอน ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่นายประทีป ปิติสันต์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุกรี สุจิตตกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 4 เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน กระทำการ หรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ ตามมาตรา 200 วรรคหนึ่ง
โดยคดีนี้ฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างปี 2544-2545 จำเลย ซึ่งเป็นอัยการเจ้าของสำนวนคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ที่มีโจทก์เป็นผู้เสียหาย และมีบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด และ นายประชา เหตระกูล บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เป็นผู้ต้องหา แต่ในการสั่งคดีกลับปรากฏว่าจำเลยในฐานะอัยการเจ้าของสำนวน ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง โดยระบุว่า ไม่มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งโจทก์เห็นว่า การสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ดังนั้น โจทก์จึงนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลให้พิพากษาลงโทษจำเลย ซึ่งคดีนี้ศาลอาญาธนบุรี และศาลอุทธรณ์ มีพิพากษาลงโทษให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงโทษไว้เป็นเวลา 1 ปี โดยจำเลยยื่นฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2540 รถยนต์ของโจทก์ ถูกนายบุญชัย สงวนความดี ขับชนท้าย ที่บริเวณสี่แยกอรุณอัมรินทร์ กทม.ซึ่งโจทก์แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ว่า ถูกนายบุญชัย ทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตราย เป็นเหตุให้บุญชัยถูกควบคุมตัวไว้ แต่ต่อมาได้รับการประกันตัวออกไป ซึ่ง นายบุญชัย แจ้งความกลับกล่าวหาว่า โจทก์ทำร้ายร่างกาย แล้วพนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวัน โดยที่โจทก์ไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา แต่วันที่ 5 ก.ย.2540 นสพ.เดลินิวส์ ที่มีบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ เป็นเจ้าของ ได้เผยแพร่ข่าวพาดหัวว่า “ผู้พิพากษาทะเลาะกับพ่อค้าผ้า” และมีข้อความระบุว่า โจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีโดยได้ประกันตัวออกไป และกรณีที่สืบเนื่องจากการเผยแพร่ดังกล่าวโจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนบางยี่ขัน ให้ดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทกับ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และนายประชา บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.เดลินิวส์ ซึ่งพนักงานสอบสวนแล้วมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจึงส่งสำนวนพร้อมความเห็นส่งให้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 4 พิจารณา และจำเลยได้รับมอบหมายให้ตรวจสำนวนและวินิจฉัยสั่งสำนวนคดีดังกล่าว กระทั่งมีคำสั่งไม่ฟ้อง บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา โดยระบุเหตุผลว่า ลักษณะการลงข่าวย่อยมีการพาดหัวข่าวสั้นๆ ส่วนเนื้อหามีลักษณะเป็นการสรุปข่าวสั้นๆ ไม่ได้ตีพิมพ์อย่างเอิกเกริกหรือพาดหัวข่าวในหน้าหนึ่งให้ผิดปกติแต่อย่างใด
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การสั่งคดีของจำเลยเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยมีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา เพราะพิจารณาถึงเจตนาของผู้ต้องหาทั้งสองแล้วว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์โดยการใช้ดุลยพินิจของจำเลยเป็นไปด้วยความสุจริตใจ ซึ่งการวินิจฉัยสั่งคดีเป็นอิสระของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิด ศาลฎีกาเห็นว่า อัยการมีอำนาจวินิจฉัยสั่งคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่จำเลยย่อมมีอิสระที่จะใช้อำนาจสั่งการตามความเห็นของตนได้โดยไม่มีการอ้างได้ว่าใช้ดุลยพินิจไปในทางชอบหรือไม่ชอบ
แต่อย่างไรก็ดี ความมีอิสระของพนักงานอัยการที่จะวินิจฉัยสั่งคดีไม่ใช่ว่าจะไร้ขอบเขตเสียทีเดียว ซึ่งในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐการใช้ดุลยพินิจสั่งคดี อัยการทุกคนจะต้องอยู่ภายในขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย และอยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผลที่วิญญูชนทั่วไปยอมรับได้ว่าไม่ใช่เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจหรือบิดผันอำนาจ ซึ่งการวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา พบว่า มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏในข้อความอันเป็นเท็จใน นสพ.เดลินิวส์ ที่เสนอข่าวกรณีนี้ คือ ระบุว่า ทั้งโจทก์และนายบุญชัย ต่างแจ้งความอีกฝ่ายหนึ่งว่าแจ้งความเท็จ และมีข้อความว่า พนักงานสอบสวนบางยี่ขันดำเนินคดีกับโจทก์และต้องใช้ตำแหน่งราชการประกันตัวออกไป ซึ่งข้อความนั้นไม่ตรงกับความจริง เพราะวันเกิดเหตุทั้งโจทก์ และนายบุญชัย ยังไม่ได้แจ้งความว่าอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งความเท็จ และโจทก์ยังไม่ได้ถูกพนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดยการลงข่าวในหนังสือพิมพ์อันเป็นเท็จดังกล่าวเห็นได้ชัดแจ้งว่า ไม่ถูกต้องด้วยหลักจริยธรรมทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์ เนื่องจากมีการบิดเบือนข่าว อีกทั้งเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยปราศจากข้ออ้างเรื่องผลประโยชน์สาธารณะใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์เป็นข้าราชการตุลาการชั้นผู้ใหญ่ การลงข่าวเท็จย่อมทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ไม่ได้ครองตัวให้สมสถานะเป็นที่น่ายำเกรง
ดังนั้น การที่จำเลยใช้ดุลยพินิจสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 โดยอ้างว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ถือว่าเป็นการวินิจฉัยมูลความผิดแบบด่วนวินิจฉัยคดีเสมือนเป็นการพิจาณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวนับเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการผู้สุจริตโดยทั่วไปที่วิญญูชนทั่วไปไม่สามารถยอมรับได้ และการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะไม่ได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล แต่เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจที่เกินล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย และในฐานะที่จำเลยเป็นข้าราชการอัยการชั้นสูงย่อมทราบดีถึงเกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิด ซึ่งการใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมายในกรณีนี้จำเลยเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการไม่ชอบและมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อีกทั้งเพื่อจะช่วย บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ และ นายประชา ไม่ให้ต้องรับโทษจากการกระทำความผิดของตนเอง ดังนั้น จึงถือว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ ม.200 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน