พิพากษาแล้ว! ประหารชีวิตขอทานสวนลุมฯ ราดเบนซินจุดไฟเผาทั้งเป็นหญิงอดีตเศรษฐินีคนรัก ที่หนีสามีมาใช้ชีวิตเร่ร่อนนอนริมฟุตปาธ คำให้การมีประโยชน์ลดโทษเหลือจำคุก 50 ปี
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเฉลิมศักดิ์ หรือ ปลิว โพธิ์เจริญ อายุ 41 ปี ชาว จ.พิจิตร พิการขาเป๋ มีอาชีพขอทานเร่ร่อนตามสี่แยกไฟแดง เป็นจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและกระทำโดยทารุณโหดร้าย จำเลยให้การรับสารภาพว่า ฆ่าจริง แต่อ้างว่ากระทำโดยบันดาลโทสะ และกระทำในขณะที่มีจิตใจวิกลจริต
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2549 เวลา 03.00 น.จำเลยได้ใช้น้ำมันเบนซินจำนวน 5 ลิตร ที่ใส่ในถังแกลลอนราดไปที่ศีรษะถึงเท้าของ น.ส.ชนิดา นิยมวานิช อายุ 35 ปี หญิงคนรักซึ่งเป็นคนเร่ร่อนเช่นกัน ขณะนอนหลับริมฟุตปาธแล้วจุดไฟแช็กเผาไฟลุกท่วมตัว จนกระทั่งมีพลเมืองดีช่วยกันนำส่ง รพ.จุฬาฯ ต่อมา น.ส.ชนิดา เสียชีวิตอย่างทรมานระหว่างรักษาตัว
อัยการโจทก์ มี ร.ต.อ.ศิริชัย เสมสวัสดิ์ หัวหน้าสายตรวจ สน.ลุมพินี เบิกความว่า เวลาเกิดเหตุได้ยินเสียงคนเร่ร่อนที่นอนอยู่ตามสวนลุมพินีร้องโวยวาย ว่า มีคนถูกไฟเผา เมื่อไปถึงพบผ้าพลาสติกปูนอนมีรอยลุกไหม้ ส่วนคนเจ็บทราบว่า มีผู้นำส่ง รพ.ไปแล้ว ตนจึงออกติดตามตัวคนร้ายพบจำเลยแอบอยู่ในพุ่มไม้ รพ.จุฬาฯ เนื้อตัวมีกลิ่นน้ำมัน เสื้อผ้า ผม บางส่วนถูกไฟลุกไหม้และจำเลยอยู่ในสภาพเมาสุราจึงจับกุมตัวดำเนินคดี
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยมีอาชีพเป็นขอทานอยู่ที่บริเวณสวมลุมพินีมานาน ก่อนหน้านี้เคยมีประวัติถูกจำคุกในคดีชิงทรัพย์มาแล้ว 3 ปี 8 เดือน ปัจจุบันพักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ในซอยวัดยาง แขวงพรานนก เขตบางกอกน้อย กทม. วันเกิดเหตุมีเพื่อนเป็นทอมชักชวนไปดื่มสุราที่ร้านคาราโอเกะย่านพรานนก จากนั้นก็ไปเร่ขอทานต่อที่บริเวณสวนลุมพินี พบผู้ตายซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับตนได้มาหาเรื่องทะเลาะว่าซื้อรองเท้าให้ตน แต่ทำไมตนไม่ใส่ จำเลยจึงโกรธ ประกอบกับจำเลยทราบมาว่าผู้ตายได้ลอบคบชู้กับนายยศไม่ทราบนามสกุล อาชีพเร่ร่อนเช็ดกระจกรถยนต์ตามสี่แยกจึงเกิดความโมโห
จำเลยจึงย้อนไปเอาแกลลอนน้ำมันเบนซินที่จำเลยเตรียมไว้ฆ่านางอ้อ ไม่ทราบนามสกุล หญิงคนรักอีกคนหนึ่ง ซึ่งจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันก่อนหน้านี้ แต่ต่อมาปรับความเข้าใจกันได้แล้วจำเลยจึงนำน้ำมันดังกล่าวไปราดตัวพร้อมจุดไฟเผาผู้ตายขณะผู้ตายนอนอยู่ริมฟุตปาธจนร้องโหยหวนก่อนเผ่นหลบหนี จำเลยกระทำไปเพราะความบันดาลโทสะ อีกทั้งจำเลยเคยเข้ารับการรักษาอาการจิตเภท จึงมีจิตวิกลจริต ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน มีเหตุต้องพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและทารุณโหดร้ายหรือไม่ เห็นว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปดื่มเหล้าที่ร้านคาราโอเกะจนมีอาการเมา จึงกระทำความผิดไปโดยมิได้มีการไตร่ตรองยั้งคิด อีกทั้งแกลลอนน้ำมันดังกล่าว จำเลยเตรียมไว้เผานางอ้อ ไม่ได้เตรียมไว้เผาผู้ตาย แต่การที่จำเลยใช้น้ำมันราดไปที่ร่างผู้ตายแล้วจุดไฟ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้ตายย่อมไม่ตายทันที ประกอบกับแพทย์เบิกความว่าขณะรักษาตัวผู้ตายมีอาการทุรนทุรายทรมาน ถูกไฟเผาร่างกายไป 90% จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าโดยทารุณโหดร้าย พิพากษาลงโทษประหารชีวิต คำให้การมีประโยชน์ มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลงโทษจำคุก 50 ปี
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวโด่งดังเป็นข่าวครึกโครม เมื่อภายหลังปรากฏข่าว น.ส.ชนิดา หญิงเร่ร่อน ถูกแฟนหนุ่มขอทานเร่ร่อนจุดไฟเผาทั้งเป็นนอนรักษาตัวอยู่ รพ.และต่อมาเสียชีวิตนั้น ปรากฏภายหลังพบว่าปูมหลังชีวิต น.ส.ชนิดา เหมือนดังนิยาย เนื่องจากก่อนมาใช้ชีวิตเร่ร่อน น.ส.ชนิดาเป็นภรรยาของเศรษฐีนักธุรกิจต่างจังหวัด มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตจึงหนีสามีมาใช้ชีวิตเร่ร่อนจนพบกับขอทานและอยู่กินกันตามริมฟุตปาธดังกล่าว ก่อนมาพบจุดจบของชีวิตอย่างน่าสยดสยอง
ราดน้ำมันเผาทั้งเป็นแฟนเก่า-ขอทานแค้นถูกด่าแย่งรองเท้า
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเฉลิมศักดิ์ หรือ ปลิว โพธิ์เจริญ อายุ 41 ปี ชาว จ.พิจิตร พิการขาเป๋ มีอาชีพขอทานเร่ร่อนตามสี่แยกไฟแดง เป็นจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและกระทำโดยทารุณโหดร้าย จำเลยให้การรับสารภาพว่า ฆ่าจริง แต่อ้างว่ากระทำโดยบันดาลโทสะ และกระทำในขณะที่มีจิตใจวิกลจริต
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2549 เวลา 03.00 น.จำเลยได้ใช้น้ำมันเบนซินจำนวน 5 ลิตร ที่ใส่ในถังแกลลอนราดไปที่ศีรษะถึงเท้าของ น.ส.ชนิดา นิยมวานิช อายุ 35 ปี หญิงคนรักซึ่งเป็นคนเร่ร่อนเช่นกัน ขณะนอนหลับริมฟุตปาธแล้วจุดไฟแช็กเผาไฟลุกท่วมตัว จนกระทั่งมีพลเมืองดีช่วยกันนำส่ง รพ.จุฬาฯ ต่อมา น.ส.ชนิดา เสียชีวิตอย่างทรมานระหว่างรักษาตัว
อัยการโจทก์ มี ร.ต.อ.ศิริชัย เสมสวัสดิ์ หัวหน้าสายตรวจ สน.ลุมพินี เบิกความว่า เวลาเกิดเหตุได้ยินเสียงคนเร่ร่อนที่นอนอยู่ตามสวนลุมพินีร้องโวยวาย ว่า มีคนถูกไฟเผา เมื่อไปถึงพบผ้าพลาสติกปูนอนมีรอยลุกไหม้ ส่วนคนเจ็บทราบว่า มีผู้นำส่ง รพ.ไปแล้ว ตนจึงออกติดตามตัวคนร้ายพบจำเลยแอบอยู่ในพุ่มไม้ รพ.จุฬาฯ เนื้อตัวมีกลิ่นน้ำมัน เสื้อผ้า ผม บางส่วนถูกไฟลุกไหม้และจำเลยอยู่ในสภาพเมาสุราจึงจับกุมตัวดำเนินคดี
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยมีอาชีพเป็นขอทานอยู่ที่บริเวณสวมลุมพินีมานาน ก่อนหน้านี้เคยมีประวัติถูกจำคุกในคดีชิงทรัพย์มาแล้ว 3 ปี 8 เดือน ปัจจุบันพักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ในซอยวัดยาง แขวงพรานนก เขตบางกอกน้อย กทม. วันเกิดเหตุมีเพื่อนเป็นทอมชักชวนไปดื่มสุราที่ร้านคาราโอเกะย่านพรานนก จากนั้นก็ไปเร่ขอทานต่อที่บริเวณสวนลุมพินี พบผู้ตายซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับตนได้มาหาเรื่องทะเลาะว่าซื้อรองเท้าให้ตน แต่ทำไมตนไม่ใส่ จำเลยจึงโกรธ ประกอบกับจำเลยทราบมาว่าผู้ตายได้ลอบคบชู้กับนายยศไม่ทราบนามสกุล อาชีพเร่ร่อนเช็ดกระจกรถยนต์ตามสี่แยกจึงเกิดความโมโห
จำเลยจึงย้อนไปเอาแกลลอนน้ำมันเบนซินที่จำเลยเตรียมไว้ฆ่านางอ้อ ไม่ทราบนามสกุล หญิงคนรักอีกคนหนึ่ง ซึ่งจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันก่อนหน้านี้ แต่ต่อมาปรับความเข้าใจกันได้แล้วจำเลยจึงนำน้ำมันดังกล่าวไปราดตัวพร้อมจุดไฟเผาผู้ตายขณะผู้ตายนอนอยู่ริมฟุตปาธจนร้องโหยหวนก่อนเผ่นหลบหนี จำเลยกระทำไปเพราะความบันดาลโทสะ อีกทั้งจำเลยเคยเข้ารับการรักษาอาการจิตเภท จึงมีจิตวิกลจริต ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน มีเหตุต้องพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและทารุณโหดร้ายหรือไม่ เห็นว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปดื่มเหล้าที่ร้านคาราโอเกะจนมีอาการเมา จึงกระทำความผิดไปโดยมิได้มีการไตร่ตรองยั้งคิด อีกทั้งแกลลอนน้ำมันดังกล่าว จำเลยเตรียมไว้เผานางอ้อ ไม่ได้เตรียมไว้เผาผู้ตาย แต่การที่จำเลยใช้น้ำมันราดไปที่ร่างผู้ตายแล้วจุดไฟ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้ตายย่อมไม่ตายทันที ประกอบกับแพทย์เบิกความว่าขณะรักษาตัวผู้ตายมีอาการทุรนทุรายทรมาน ถูกไฟเผาร่างกายไป 90% จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าโดยทารุณโหดร้าย พิพากษาลงโทษประหารชีวิต คำให้การมีประโยชน์ มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลงโทษจำคุก 50 ปี
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวโด่งดังเป็นข่าวครึกโครม เมื่อภายหลังปรากฏข่าว น.ส.ชนิดา หญิงเร่ร่อน ถูกแฟนหนุ่มขอทานเร่ร่อนจุดไฟเผาทั้งเป็นนอนรักษาตัวอยู่ รพ.และต่อมาเสียชีวิตนั้น ปรากฏภายหลังพบว่าปูมหลังชีวิต น.ส.ชนิดา เหมือนดังนิยาย เนื่องจากก่อนมาใช้ชีวิตเร่ร่อน น.ส.ชนิดาเป็นภรรยาของเศรษฐีนักธุรกิจต่างจังหวัด มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตจึงหนีสามีมาใช้ชีวิตเร่ร่อนจนพบกับขอทานและอยู่กินกันตามริมฟุตปาธดังกล่าว ก่อนมาพบจุดจบของชีวิตอย่างน่าสยดสยอง
ราดน้ำมันเผาทั้งเป็นแฟนเก่า-ขอทานแค้นถูกด่าแย่งรองเท้า
